การศึกษาใหม่ในขณะนี้ได้ค้นพบความสัมพันธ์ของระดับไขมันในช่องท้อง กับปริมาณเนื้อสมองในคนเรา พบว่า ในผู้ที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนโดยเฉพาะในเพศหญิง การที่มีระดับไขมันในช่องท้องและไขมันใต้ผิวหนังบริเวณช่องท้องจากการตรวจด้วย Magnetic Resonance Imaging (MRI) แล้วพบว่ามีปริมาณไขมันที่สูง จะสามารถทำนายได้ว่าอาจมีภาวะที่สมองฝ่อลงได้ รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ด้วย
ที่ผ่านมา มีหลายการศึกษาที่ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างระดับไขมันที่สะสมในร่างกายกับความเสี่ยงของการเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ยังไม่มีการศึกษาที่มากพอที่จะระบุลงในรายละเอียดของประเภทของไขมัน ที่สัมพันธ์กับระดับปริมาณของเนื้อสมอง จึงมีการศึกษาใหม่เพื่อที่จะค้นหาคำตอบที่ยังคลุมเครือนี้
การศึกษาดังกล่าวใช้ประชากรเข้าร่วมการศึกษาจำนวน 10,000 ราย ในช่วงอายุ 20 ถึง 80 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 52.9 ปี เข้าทำ MRI เพื่อประเมินระดับไขมันในร่างกาย วิเคราะห์ประเภทของไขมัน และประเมินปริมาณของเนื้อสมอง โดยพบว่า ปริมาณของระดับไขมันที่สูงขึ้นทั้งภายในช่องท้อง และใต้ผิวหนังบริเวณช่องท้องสัมพันธ์กับปริมาณของเนื้อสมองที่ลดลง โดยเฉพาะในส่วนของ Hippocampus, Frontal cortex, Temporal lobe, Parietal lobe, และ Occipital lobe โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายประเด็นมีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการศึกษานี้
แม้ว่าการศึกษาดังกล่าวจะพบว่า การมีระดับไขมันในช่องท้องที่สูง สัมพันธ์กับภาวะสมองฝ่อ แต่ก็มีหลายประเด็นที่ควรพิจารณา คือ การศึกษาดังกล่าวอาจมีขนาดของผลในการศึกษาทางสถิติที่เล็ก แต่ก็ยังมีประโยชน์จากข้อมูลนี้ เพราะว่าในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองฝ่ออาจส่งผลต่อความคิด ความจำ และความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการศึกษานี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการอธิบายกลไกที่พอจะเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วน และความจำของผู้ป่วยได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีข้อจำกัดในการสรุปผลอยู่ เนื่องจากการศึกษานี้ไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัจจับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กิจวัตรประจำวัน และอาหาร ซึ่งอาจเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทราบถึงกลไกความสัมพันธ์ของสองภาวะดังกล่าวได้
เรียบเรียงโดย นพ. จิรัสม์ พัวพัฒนกุล
ข้อมูลจาก Abdominal Fat Linked to Lower Brain Volume in Midlife – Medscape – Sep 05, 2023.

