ผู้เป็นโรคถุงลมโป่งพองมักมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วย และประมาณ 1 ใน 3 ของผู้เป็นโรคถุงลมโป่งพองเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งผู้เป็นโรคถุงลมโป่งพองมักมีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งพบได้มากถึง 42% และ 21% ตามลำดับ ข้อมูลในปัจจุบันสนับสนุนว่าการกำเริบของโรคถุงลมโป่ง อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการเสียชีวิตด้วย
Nathaniel M Hawkins และคณะ ได้ทำการศึกษาในผู้เป็นโรคถุงลมโป่งพองที่มีโรคกำเริบระดับปานกลางขึ้นไป โดยติดตามไปนาน 12 เดือน นับจากเกิดโรคกำเริบครั้งแรก เพื่อดูอัตราการเสียชีวิต การต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกี่ยวกับโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคสมองขาดเลือด โดยมีผู้เข้าร่วมงานวิจัยอายุเฉลี่ย 68.1 ปี จำนวน 142,787 ราย มีผู้เข้าร่วมงานวิจัย 43.4% หรือ 61,981 รายมีโรคถุงลมโป่งพองกำเริบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และ 23.9% หรือ 34,068 รายเสียชีวิตระหว่างการติดตามใน 64 เดือน ผลการศึกษาพบว่า อุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อนการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพองอยู่ที่ 5.43 ต่อ 100 คน-ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 95.61 ต่อ 100 คน-ปีภายใน 7 วันหลังเกิดการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพองภายใน 7 วัน ซึ่งคิดเป็น 15.86 เท่า และยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปจนถึง 1 ปี ส่วนโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก คือ การแย่ลงของภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 72.34 เท่า
จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพองตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไป เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่ออุบัติการณ์การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหัวใจวาย ดังนั้น ผลกระทบของโรคถุงลมโป่งพองต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป รวมถึงผู้ป่วยที่มีการกำเริบของถุงลมโป่งพอง อาจต้องติดตามการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อไปด้วย
เรียบเรียงโดย พญ. นิษฐา ปรุงวิทยา
ข้อมูลจาก https://heart.bmj.com/content/110/10/702