ตลอดวิกฤตการณ์การระบาดของไวรัสโควิด 19 กลุ่มนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญโรค HIV ต่างหันไปทุ่มเทความพยายามเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนั้น จนส่งผลให้การวิจัยวัคซีนป้องกันโรค HIV ต้องชะลอตัวลง
ทั้งนี้ เชื้อ HIV ได้รับฉายาว่า shape-shifting virus จากความสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหลบหนีการทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่ายกายมนุษย์ กล่าวคือ แม้ร่างกายพยายามสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อ แต่ไวรัสสามารถกลายพันธุ์ได้ตลอดเพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการกำจัดเชื้อ
ข้อมูลจาก CDC สหรัฐอเมริกา รายงานว่า โรคเอดส์ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญในสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้ติดเชื้อประมาณ 1.2 ล้านคน การเสวนาในงานประชุมวิชาการ Retroviruses and Opportunistic Infections (CROI) ประจำปี 2024 ที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ได้มีการนำเสนอแนวทางในการพัฒนาวิจัยวัคซีนต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ในสองทศวรรษที่ผ่านมา วงการวิจัยวัคซีนป้องกันโรค HIV มุ่งเน้นไปที่การออกแบบวัคซีนที่สามารถกระตุ้นการสร้าง Neutralizing antibodies ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ Germline, mRNA, Nanoparticle ทว่า ความพยายามที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจนัก โดยล่าสุดการทดลอง PrEPVacc ในทวีปแอฟริกาก็ถูกยกเลิกกลางคัน หลังจากนักวิจัย พบว่า แทบไม่มีโอกาสที่วัคซีนชนิดดังกล่าวจะให้ประสิทธิภาพน่าพอใจในการป้องกันโรค HIV อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวในการทดลองวัคซีนในอดีต เป็นบทเรียนสำคัญที่จะนำไปสู่การวิจัยวัคซีน HIV ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะจากที่การพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด 19 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดใหญ่ ทำให้วงการวิจัยมีความหวังในการต่อยอดนำเทคนิคดังกล่าวมาใช้การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค HIV ได้เช่นกัน โดยขณะนี้มีนวัตกรรมหลายอย่างถูกนำมาใช้ทดสอบในงานวิจัยทางคลินิก เช่น วัคซีนชนิด mRNA การใช้โปรตีนอนุภาคนาโน เทคโนโลยีการพัฒนาสาร adjuvant เป็นต้น
การเสวนานี้ทำให้ทราบว่า แม้การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค HIV ที่มีประสิทธิภาพจะใช้เวลายาวนานและล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่จากข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้วงการวิจัยยังคงมีความหวังต่อการค้นพบวัคซีนป้องกัน HIV ตัวแรกของโลกต่อไป
เรียบเรียงโดย พญ. สลิล ศิรินาม
ข้อมูลจาก https://www.medscape.com/viewarticle/whats-next-worlds-first-hiv-vaccine-2024a100046g