“พอพูดปัญหานิดเดียว แม่เข้าใจทุกอย่าง พ่อแม่จะดุแค่ไหน ถ้าลูกมีปัญหา จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด“
นพ. จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี
สาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก สาขาวิชาอายุรกรรม
หัวหน้าแผนกวิจัย
ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองประธานวิชาการ สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก
จบมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการสมัยเรียนชอบวิชาอังกฤษกับวิชาชีวะ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่สบายบ่อย ๆ ต้องแอดมิด ครอบครัวก็ยังไม่มีใครเป็นหมอ ก็เลยอยากที่จะมาเรียนแพทย์เพื่อจะช่วยครอบครัวดูแลพ่อแม่และญาติพี่น้อง เลยตัดสินใจเรียนแพทย์
เริ่มเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ไปฝึกงานที่โคราชและบุรีรัมย์ หลังจากนั้นมาใช้ทุนในส่วนของภาควิชาอายุรกรรม ที่ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างนั้นมีเรื่องประทับใจหลายเรื่องในแต่ละที่ ที่จำได้จนทุกวันนี้ ก็คือ มีเคสคนไข้เข้ามาหาเพื่อขอบคุณว่า ช่วยชีวิตเขาไว้ เคยปั๊มหัวใจให้เขาและส่งไปสวนหัวใจที่สถาบันโรคทรวงอกจนเขากลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เป็นอะไรที่ตนเองประทับใจมาก และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจเรียนต่อเฉพาะทางอายุรกรรม ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
สำหรับสาเหตุที่เลือกเรียนต่อทางภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันนั้น เกิดจากการที่ตัวเองมีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ พอช่วงเรียนอายุรกรรม เรียนหนัก อาการกำเริบเยอะมาก จนหายใจแทบไม่ได้ เป็นไซนัสอักเสบ มีโพรงจมูกคดด้วย ต้องไปผ่าตัดรักษาแบบจริงจัง หลังผ่าตัดก็ได้ไปรักษากับอาจารย์ทางด้านหู คอ จมูก ดูร่วมกับหมอภูมิแพ้ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จนรู้ว่าตัวเองแพ้อะไร ต้องหลีกเลี่ยงและรักษาแบบ Immunotherapy ก็ทำให้เราหายจากแพ้ไรฝุ่นและใช้ชีวิตปกติได้จนถึงปัจจุบัน จึงตัดสินใจเรียนต่อทางด้านนี้เพื่อดูแลตัวเองและดูแลผู้ป่วยที่ป่วยคล้ายกันได้ด้วย
เป้าหมายในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิตทั่วไป
เป้าหมายด้านการรักษา ตอนจบใหม่ ๆ ก็คิดว่าจะกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลชลประทาน หรือไปอยู่โรงเรียนแพทย์ดี แต่ที่โรงพยาบาลชลประทาน ไม่มีหมอภูมิแพ้ผู้ใหญ่เลย ก็คิดว่าถ้าเรามาอยู่ที่โรงพยาบาลชลประทาน น่าจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่า ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 1 ปี จะตั้งคลินิกภูมิแพ้ โรคหืด และหลอดลมอุดกั้น ทำการรักษาแบบ Immunotherapy ให้ได้ เพราะถ้าเราไม่ได้ทำก็เหมือนเราทิ้งวิชาชีพที่เรียนมาและไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับโรงพยาบาลที่ให้ทุนเราเรียนด้วย ซึ่งก็ได้พยายามอย่างเต็มกำลัง โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารทุกท่าน ได้น้องเภสัชและพยาบาลมาช่วย ได้น้ำยาทดสอบ น้ำยา Immunotherapy จนสามารถเปิดคลินิกเฉพาะทางขึ้นมาได้ ตอนนี้ก็มีแผนตั้งศูนย์ภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ ได้ประสานกับน้องที่ไปเรียนระบบทางเดินหายใจ อยากให้ที่ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นศูนย์ภูมิแพ้แห่งแรกและเป็นแห่งที่ดีของคนนนทบุรี อาจจะใช้เวลา 2 – 3 ปี ถ้าทำได้จริง ๆ จะครบวงจรทุกอย่างในเรื่องการพัฒนา เรื่องของงานวิจัยและการรักษาที่ครบวงจร ถึงตอนนั้นจะดูแลคนไข้ได้มากขึ้น มีความทัดเทียมกับหลาย ๆ ที่และนานาชาติได้
เป้าหมายด้านการวิจัย ตอนนี้ผู้บริหารเชิญให้มาเป็นหัวหน้างานวิจัย ก็อยากจะให้ชื่อของโรงพยาบาลเราได้เป็นท็อป 10 ของประเทศในแง่งานวิจัยต่าง ๆ โดยงานวิจัยเป็นสิ่งที่สำคัญ และสะท้อนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการเรียนและการต่อยอด ประสิทธิภาพในการรักษาและการให้บริการ
ส่วนเป้าหมายด้านอื่น ๆ คือ ส่วนตัวชอบงานรัฐบาลมากที่สุด เพราะได้ตรวจรักษา ได้สอน ได้ทำงานวิจัย แต่ก็มีข้อจำกัดด้านรายได้เหมือนงานราชการโดยทั่วไป ทำให้ต้องทำงานหลายที่ เรียกว่าทำงานทั้ง 7 วัน ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง พักผ่อนหรืออยู่กับครอบครัว สรุปก็คืออยากปรับให้มี work life balance ที่ดีมากขึ้น
สาเหตุที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จ
ผมคิดว่าสาเหตุแรกคือ “ความตั้งใจ” ถ้าจะทำอะไรต้องทำให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะยาก เป็นสิ่งที่เราคิดมาตลอดและติดอยู่ในตัวเรา อย่างการเข้าแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลับมหิดล และอายุรศาสตร์ พระมงกุฎเกล้า ตั้งคลินิกเฉพาะทางภูมิแพ้ โรคหืด และหลอดลมอุดกั้น และอนาคตจะตั้งศูนย์ภูมิแพ้ฯ ทั้งหมดเกิดจากความตั้งใจ แม้หลาย ๆ เรื่องมันจะยากถึงยากมาก แต่หากเราตั้งใจแล้ว มันจะเป็นเรื่องที่ทำได้
สาเหตุที่สองคือ “ไม่ย่อท้อ” ทุกเรื่องมีอุปสรรค ครั้งแรกไม่สำเร็จ ถ้าไม่ย่อท้อ ครั้งต่อ ๆ ไปอาจสำเร็จ
อย่างตอนทำคลินิกภูมิแพ้ ติดต่อด้วยเอกสารช้ามาก เราก็มองว่าปัญหาอยู่ที่อะไร ทางแก้มีตรงไหน ก็เข้าไปจับเข่าคุยกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง บางคนเขาอาจไม่เข้าใจเอกสาร เราได้ไปอธิบายด้วยตนเองงานก็สำเร็จได้
“ผลการรักษาก็ไม่เป็นใจ
ผมเลยเครียดมาก
เรื่องทั้งหมดเก็บไว้กับตัวเอง…
รู้สึกแย่มาก
ถึงขนาดนั่งอยู่ดี ๆ
ร้องไห้ออกมาเลย”
มีบางครั้งที่เป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร ควรปรับปรุงเรื่องอะไร
ผมเล่าเคสนี้ให้ฟัง มันเป็นเคสที่ส่งผลต่อชีวิตผมมาก อาจจะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คนได้บ้าง สมัยตอนเทรนนิ่งอายุรกรรม จะมีช่วงหนึ่งที่หนักมาก คือ อยู่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลรัฐ คนไข้เยอะมาก ผมเป็นคนที่ perfectionist ต้องเป๊ะทุกอย่าง การตรวจคนไข้ต้องได้ทุกอย่าง ขอตรวจเพิ่มเติม ขอเอกซเรย์ ขออัลตราซาวนด์ต้องได้เร็วที่สุด ความคาดหวังเราสูง แต่ทำไม่ทัน เจอแบบนี้บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ผลการรักษาก็ไม่เป็นใจ ผมเลยเครียดมาก เรื่องทั้งหมดเก็บไว้กับตัวเอง รู้สึกแย่มาก ถึงขนาดนั่งอยู่ดี ๆ ร้องไห้ออกมาเลย ไม่มีกำลังใจในการทำงาน ไม่อยากจะตื่นมาทำงาน ไม่รู้จะทำอย่างไร เขียนชาร์ตไปก็ร้องไห้ไป
ช่วงนั้นโชคดีที่มีรุ่นพี่และอาจารย์ที่ดีมาก ๆ คอยให้คำปรึกษา ได้เจอกับจิตแพทย์ ได้พักอยู่เกือบสัปดาห์ มีการปรับยา ผมก็ใช้เวลาคิดหาเหตุหาผลกับตัวเอง ในที่สุดก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ โดยผมใช้วิธีการเปลี่ยนมุมมองว่า ทุกอย่างมันไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรที่ต้องเป๊ะครบทุกอย่าง ไม่ได้อย่างนี้ก็ยังมีอีกอย่างให้เลือกมีทางเลือกที่ 1, 2, 3 และถ้าไม่ได้จริง ๆ แย่สุดคืออะไร ดีสุดคืออะไร การผิดพลาดคือการเรียนรู้ เมื่อเราเปลี่ยนมุมมองได้ ก็มีความสุขในการใช้ชีวิต
สำหรับเรื่องที่ไม่สำเร็จ ก็ต้องเข้าใจว่า ทุกคนแม้จะพยายามแค่ไหนก็อาจมีบางเรื่องที่ไม่สำเร็จ ส่วนตัวถ้าเราเหนื่อยก็พักก่อน ระหว่างพักก็นั่งวิเคราะห์หาเหตุผล ว่าควรแก้ไขตรงไหน ตอนนี้บางเรื่องผมรอได้
ในอดีตที่ผ่านมาเวลาประสบปัญหาแก้อย่างไร หรือปรึกษาใคร
เข้าใจว่าแต่ละคนมีปัญหาแตกต่างกันไป ถ้าจะยกเคสที่พอจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง ผมเคยมีปัญหาด้านชีวิตครอบครัว เดือนแรกผมไม่ได้ปรึกษาใครอยู่คนเดียว เจอแต่คำถามซ้ำ ๆ มันยิ่งแย่ลง ปกติคุณแม่ผมจะเป็นคนดุมาก ไม่ค่อยได้ปรึกษาแม่เท่าไร เพราะคิดว่าจะทำให้เราหนักใจมากยิ่งขึ้น แต่ต่อมาแม่ก็ถาม เราก็ต้องบอก ปรากฏว่าพูดไปนิดเดียว แม่เขาเข้าใจทุกอย่าง ทำให้ผมคิดว่าพ่อแม่ไม่ว่าจะดุแค่ไหน ถ้ารู้ว่าลูกมีปัญหาจะเป็นที่ปรึกษา ท่านรับฟังเราได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นครอบครัวก็สนับสนุนให้กำลังใจ เพื่อนสมัยเรียนก็สนับสนุนเรา มันทำให้เราเห็นว่า ถ้าเราไม่เจอปัญหาเราจะไม่รู้เลยว่าใครรักเราจริง ใครคิดกับเรายังไง ก็ผ่านเหตุการณ์มาได้ด้วยดี
.
บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
คนแรก คุณพ่อคุณแม่ ท่านเป็นลูกครึ่งจีน ท่านได้ตั้งตัวด้วยตัวเองทั้งหมดเริ่มด้วยทำบริษัทเกี่ยวกับโรงงานแบตเตอรี่รถยนต์เล็ก ๆ อยู่ในบ้าน ทำไปเต็มที่แล้ว แต่ขาดทุน จนต้องไปยืมเงิน ต้องขายทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่หยุดความเพียร ไม่หยุดความตั้งใจที่จะทำ ไม่มีความย่อท้อ จนสุดท้ายเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ และทำโรงงานสำเร็จ สามารถเลี้ยงลูกได้ 4 คน ซัพพอร์ตลูกได้เต็มที่ อยากจะเรียนอะไร รู้สึกว่าเขาผ่านจุดที่หนักมา ท่านเป็นต้นแบบของความเพียร ไม่ย่อท้อ
คนที่ 2 พล.ต. นพ. อธิก แสงอาสภวิระยะ ท่านเป็นที่ปรึกษาของหน่วยโรคภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกันทางคลินิก เป็นอาจารย์ที่พระมงกุฎเกล้า ท่านเป็นอาจารย์ที่ไม่ใช่แค่ประสบความสำเร็จทางวิชาการ ท่านเป็นคนใจดี สอนดีมาก ๆ ไม่ใช่สอนแค่วิชาการสอนด้านการใช้ชีวิต พร้อมที่จะให้โอกาสทุกคน ต้องบอกอย่างหนึ่งว่าการที่ผมได้เทรนนิ่งภูมิแพ้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอาจารย์ หลังจากผมจบมา อาจารย์เขาให้โอกาสผมทุกอย่าง ตั้งแต่เทรนนิ่ง ฝึกเขียนหนังสือ ทำงานวิชาการ ทำงานวิจัยต่าง ๆ หลังจบผลักดันให้ผมทำงานเอกชนด้วย ได้ไปสัมภาษณ์ในที่ต่าง ๆ ได้เข้าสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ถ้าผมประสบความสำเร็จในอนาคตก็จะสร้างคนรุ่นใหม่ ๆ เหมือนที่อาจารย์ทำมา
คนที่ 3 ศ. ดร. พญ. อรพรรณ โพชนุกูล อาจารย์ทำทั้งงานบริหารและงานศูนย์ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาขาที่ผมชอบมาก ๆ อาจารย์เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก คือ ผมคิดว่าการที่เราเป็นอาจารย์อย่างเดียวหรือ เป็นแพทย์รักษาอย่างเดียว มันไม่ได้สร้างคุณค่าให้องค์กรนั้น ๆ ได้เต็มที่ แต่อาจารย์เป็นได้หลายอย่าง ทำได้มากมาย ผมก็อยากจะทำให้ได้เหมือนอาจารย์ อาจารย์เป็นโรลโมเดลให้ผม
คนที่ 4 อาจารย์ พญ. จุฑาธิป ลิ้มคุณากูล อาจารย์เป็นหมอโรคไต ที่ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งต้องให้การบริการที่หนัก และยังไม่มีการเทรนนิ่งที่โรงพยาบาล แต่จะเป็นแพทย์ใช้ทุนผสม อาจารย์เป็นคนที่ดูเคสที่ดีมาก และทำงานบริหารไปด้วย อาจารย์ทำงานเยอะและทุ่มเทให้กับการทำงานจริง ๆ อย่างงานวิจัยอาจารย์ก็ชวนผมมาทำด้วย ผมว่าจะเจริญรอยตามท่าน ในอนาคตผมต้องแบ่งเวลาไปสร้างศูนย์ แต่ผมก็จะดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ปัจจุบันที่พอจะใช้เป็นหลักยึดสำหรับการทำงาน คือ “ไม่มีอะไรที่เราตั้งใจ แล้วทำไม่ได้” วันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ก็ต้องได้ เดือนหน้าก็ต้องได้
หลักยึดที่ 2 คือ “ต้องปล่อยวางให้เป็น” หลักยึดนี้สำคัญสำหรับผมมาก เพราะใช้เอาชนะความเครียดจากการที่เป็นคน perfectionist ในอดีตได้ ในการปล่อยวางนั้น ผมต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยก่อน การให้อภัยได้แต่แรก ทำให้ไม่ร้อน มีสติในการพูดคุยหรือสอน งานอาจช้าลงนิด แต่ดำเนินไปได้ ส่วนตัวช่วงไหนที่มีปัญหา การสวดมนต์ การนั่งสมาธิจะช่วยให้เราปล่อยวางได้ดีขึ้น
หลักยึดที่ 3 คือ “ไม่มีอะไรในโลกที่แน่นอน” เราอาจจะคาดหวังว่าชีวิตเราจะต้องประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน พอผิดหวังก็จะเฟลมาก เพราะเราคาดหวังบนสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าเรารู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่นอน เราจะใช้ชีวิตในทุกวันให้มีคุณค่าดีที่สุด ไม่รู้สึกเสียดายวันเวลา
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางอนาคตเป็นอย่างไร
ต้องออกตัวว่าประสบการณ์ผมมีไม่มากเท่ากับอาจารย์หลาย ๆ ท่าน แต่พอจะสะท้อนมุมมองในวัยผมได้ว่า การแพทย์ไทยไม่ด้อยไปกว่าใครในโลก ตอนไปดูงานที่อเมริกา มีชาติที่เก่ง ๆ อยู่ 3 ชาติ อินเดีย เกาหลี และไทย เรียนอยู่ในโรงพยาบาลอันดับต้น ๆ ในอเมริกา ทำงานวิจัยระดับสูงได้ ผมเลยมองว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าเราก็จะไม่แพ้ต่างชาติ ประเทศไทยมีการแพทย์ที่ดี การรักษาที่ถูก มีแพทย์ที่เก่ง อนาคตอาจเป็นระดับต้น ๆ ของเอเชีย หรือระดับโลกด้วย
ในส่วนของสาขาภูมิแพ้ยังสามารถพัฒนาด้านการรักษาได้อีกเช่นเดียวกันความรู้พื้นฐานของหมอภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน คือ การดูเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งก็เป็นต้นกำเนิดของอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำให้สามารถพัฒนาต่อไปได้ อย่างสถานการณ์ปัจจุบันเราอาจคิดค้นยาต้านโควิดใหม่ ๆ หรืออาจคิดค้นการเสริมภูมิ หรือการทำimmunotherapy ในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก
ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร
สำหรับแพทย์ทั่วไป ต้องตั้งต้นก่อนว่าความสำเร็จของเราที่ต้องการคืออะไร ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จแบบมีครอบครัว มีการเงินที่ดี ภาคเอกชนน่าจะตอบโจทย์ให้คุณได้ แต่ถ้าความสำเร็จของเรามาจากการได้พัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์ องค์ความรู้ การรักษาแนวใหม่ ๆ ได้ทำวิจัยในเรื่องใหม่ ๆ ได้มีส่วนในระบบการเรียนการสอน ก็อาจจะต้องอยู่ในโรงเรียนแพทย์ต้องพิจารณา
พอมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นแล้ว ผมเห็นว่า หมอรุ่นใหม่ควรมีทักษะในการสื่อสารกับคนไข้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้การสื่อสารมีปัญหา เช่น การระบาดของโควิด 19 การให้บริการแบบ telemedicine และอื่น ๆ ที่ทำให้แพทย์ต้องพัฒนาด้านการสื่อสารในหลาย ๆ รูปแบบ
เรื่องต่อมาก็เป็นเรื่องของเทคโนโลยีกับเรื่องภาษา ปัจจุบันบางโรคมีการปรึกษาแพทย์ทางอินเทอร์เน็ตมีการใช้ไลน์ ใช้แชท ต่อไปก็จะมีเรื่องของ metaverse ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ มีการพัฒนาตลอด ประกอบกับคนไข้ซึ่งเป็นชาวต่างชาติก็จะมีมากขึ้น ทักษะทางด้านการใช้เทคโนโลยี และการใช้ภาษา ถ้าเป็น 3 หรือ 4 ภาษาได้จะยิ่งดี
สุดท้ายสำหรับหมอทั่วไป อนาคตผมมองว่า เราอาจจะเป็นสังคมหมอเฉพาะทาง เนื่องจากข้อมูลโรค และการรักษาสามารถเข้าถึงได้ง่าย คนไข้มีความรู้มากขึ้น ต้องการการรักษากับหมอที่มีความรู้เฉพาะทาง เฉพาะโรคที่คนไข้เป็นมากขึ้น ฝากถึงแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ในการติดตามและเตรียมตัวกับเรื่องนี้
สำหรับแพทย์สาขาภูมิแพ้ เป็นสาขาที่คนเป็นเยอะ สาขาโพรงจมูก หอบหืด ความรู้ต่าง ๆ ที่เราเคยเทรนนิ่งมาของภูมิแพ้ หรืออิมมูโน เป็นความรู้ที่ดีไม่อยากให้ทิ้งความรู้ในส่วนนี้ เอกชนก็ทำวิจัยได้อยู่ อยากให้ต่อยอดความรู้ อยากให้คนที่จบมาแล้วสามารถสร้างองค์ความรู้ทำให้เราช่วยรักษาคนไข้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน ต่อยอดความรู้เป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติ