CIMjournal
นพ. วิทยา ถิฐาพันธ์

อาจารย์ นพ. วิทยา ถิฐาพันธ์ สาขาสูตินรีแพทย์


“เพราะแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ผมเกิดความใฝ่ฝัน จึงทำให้มีวันนี้”

ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. วิทยา ถิฐาพันธ์
ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเรียนหนังสือ

ผมเกิดที่อำเภออินทร์บุรี อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ในภาคกลางของประเทศไทย ตอนเป็นเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าแม่คลอดผมที่บ้าน โดยมีหมอตำแยมาทำคลอดให้ที่บ้าน เสียค่าทำคลอดไม่กี่บาท

ผมมีเตี่ยเป็นคนจีนอพยพ หนีความยากจน มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในมณฑลกวางตุ้งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อมาแสวงหาชีวิตใหม่ในประเทศไทย เตี่ยเป็นคนไม่มีการศึกษา เขียนหนังสือไม่ได้ทั้งภาษาจีนและภาษาไทย แต่พอพูดภาษาจีนและไทยระดับใช้สื่อสารทั่วไปได้ แม่ผมเป็นลูกคนจีนอพยพกับยายของผมที่เป็นคนไทย แม่จบการศึกษาแค่ชั้นประถมปีที่ 4

ผมมีพี่น้อง 6 คน พี่คนโตเป็นผู้ชาย ส่วนผมเป็นน้องก่อนคนสุดท้อง สมัยผมเป็นเด็ก เตี่ยกับแม่ผมต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก ต้องเดินทางเพื่อไปรับซื้อและขายข้าวเป็นประจำ ผมและพี่น้องจึงต้องถูกเตี่ยและแม่พาไปฝากน้าสาวสองคนที่ไม่ได้แต่งงานให้ช่วยเลี้ยง

พี่ชายคนโตของผมเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่งมาก ขยัน อดทน และมีความมุ่งมั่น อยากมีอนาคตที่ดี ด้วยฐานะครอบครัวที่ไม่ดีนัก พี่ชายของผมต้องขอยืมหนังสือเรียนของเพื่อนมาคัดลอกใส่สมุดเพื่อประหยัดเงินที่จะต้องใช้ซื้อหนังสือ ซึ่งมีราคาแพงกว่าสมุดที่ใช้คัดลอก ด้วยความเป็นคนมีความมุ่งมั่น พี่ผมได้รับความช่วยเหลือจากคุณครูคนหนึ่งที่สอน ช่วยแนะนำให้พี่ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ซึ่งสมัยนั้นเป็นโรงเรียนที่สอบเข้ายากมากสำหรับนักเรียนจากต่างจังหวัดที่ครอบครัวมีฐานะไม่ค่อยดีและด้อยโอกาสทางการศึกษา พี่ชายผมสอบเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ และน่าจะเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวจากจังหวัดสิงห์บุรีที่สอบได้ในปีนั้น สิ่งที่ควรจะเล่าให้ฟังอีกประการก็คือคุณครูที่ช่วยเหลือพี่ชายผมยังช่วยต่อโดยฝากพี่ชายผมให้เป็นเด็กวัดที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เพื่อจะได้มีที่พักโดยไม่ต้องเสียเงินขณะเรียนในกรุงเทพฯ

ภายหลังจบการเรียนจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพี่ชายคนนี้ของผมได้สอบชิงทุนต่าง ๆ ไปเรียนต่อทั้งที่ประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาและกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ในประเทศไทยจนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งศาสตราจารย์ระดับ 11 ของมหาวิทยาลัยมหิดล

ที่ผมต้องเล่ารายละเอียดของพี่ชายของผมค่อนข้างมากก็เพื่อจะบอกว่า ช่วงเวลาที่พี่ชายของผมเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ช่วงนั้นผมยังเรียนแค่ชั้นประถมในโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอที่ผมเกิด ผมไม่เคยรู้เลยว่ากรุงเทพฯ เป็นอย่างไร แต่คิดว่ามันจะต้องเป็นที่อยู่ของคนเรียนเก่งเท่านั้น ทุกครั้งที่พี่ชายผมกลับจากกรุงเทพฯ มาบ้าน พี่ผมจะแต่งชุดนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ซึ่งเสื้อสีขาวที่ใส่มีเข็มสีทองเป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ (ความจริงคือสัญลักษณ์พระเกี้ยวน้อยของโรงเรียน) ห้อยอยู่ โดยไม่มีการปักตัวอักษรย่อชื่อโรงเรียนเหมือนของผม แถมกางเกงที่ใส่ก็เป็นสีดำไม่ใช่สีกากีแบบของผม ผมประทับใจมาก และถามพี่ว่า “ต่อไปเมื่อโตขึ้นผมจะไปเข้าโรงเรียนเดียวกับโรงเรียนของเฮีย ผมจะต้องทำอย่างไร ?” คำตอบสั้น ๆ จากพี่ชายของผมก็คือ “เอ็งต้องขยันเรียนหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เหมือนกับที่เฮียเคยทำมาแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว”

IDV 096 1

“ขยัน ขยัน และขยัน” คือคำที่ก้องในหัวใจของผม และทำให้ผมทุ่มเทชีวิตเพื่อการเรียน จนในที่สุดผมก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาตามพี่ชายของผมได้ในที่สุด ผมยังจำได้ว่าในวันที่สอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผมต้องไปสอบที่สนามสอบของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งสมัยนั้นอยู่ใกล้ ๆ สวนลุมพินี เพราะคนสมัครสอบมีเป็นหมื่นคน จนไม่สามารถจัดสอบที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาโรงเรียนเดียวได้ ตอนยืนเรียงแถวเพื่อเข้าห้องสอบ นักเรียนที่ยืนข้างหน้าผมจากโรงเรียนอะไรก็ไม่รู้หันมาถามผมว่า ผมกวดวิชาจากโรงเรียนอะไรก่อนมาสอบ ซึ่งผมถามกลับไปว่า “กวดวิชาคืออะไร ?” เพราะที่บ้านผมไม่มี ใช้การเรียนรู้เองกับครูสอนเท่านั้น

ขณะเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และใกล้จะถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คุณครูวันทนา กลีบเมฆ ซึ่งเป็นคุณครูประจำชั้นของผมได้เรียกผมไปถามว่า “วิทยา เธอจะไปสอบเข้าคณะอะไร?” ผมตอบว่า “อยากสอบเข้าคณะครุศาสตร์ ผมอยากเป็นครูครับ” ผมยังจำคำพูดที่คุณครูของผมซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ครูบอกผมว่า “อย่าเป็นครูเลย ไปเรียนแพทย์เหมือนเพื่อน ๆ เถอะ เพราะผลการเรียนของเธอก็ดี ชีวิตครูลำบากนะ”

เพราะคำพูดข้างต้น ผมก็เลยทำตามที่ครูบอก ผมสอบเข้าเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเลือกเป็นอันดับหนึ่ง เพราะก่อนสอบคัดเลือกผมไปเที่ยวเชียงใหม่ ได้เห็นบ้านเมืองที่แปลกไปจากที่ผมคุ้นเคย เห็นภูเขา เห็นดอยสุเทพ ผมอยากไปอยู่มาก

ผมเป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นที่ 17 ของเชียงใหม่ หลังจากนั้นได้ไปเป็นแพทย์ฝึกหัดที่วชิรพยาบาล 1 ปี และต่อด้วยการทำงานใช้ทุนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอโพธิ์ทอง ที่จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กมีเตียงนอนผู้ป่วยแค่ 10 เตียง อยู่ 2 ปี จากนั้นได้สมัครเข้าฝึกอบรมเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


ทำไมต้องเป็นสูตินรีแพทย์ ?

ขณะเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 ในช่วงเวลาที่ต้องวนไปเรียนที่ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ผมมีโอกาสได้ตามอาจารย์ในภาควิชาฯ ท่านหนึ่ง ไปตรวจผู้ป่วยหลังคลอดที่หอผู้ป่วยสูติกรรม ผมได้เห็นบรรยากาศที่แตกต่างกับบรรยากาศของหอผู้ป่วยอื่นที่ผมผ่านมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหอผู้ป่วยอายุรกรรม หรือหอผู้ป่วยศัลยกรรม ผมเห็นบรรยากาศของความสุขของคุณแม่ที่ได้อุ้มลูกภายหลังรอคอยมานานเกือบปี ได้เห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธาและขอบคุณที่ผู้ป่วยมีให้กับอาจารย์ ผมรู้สึกประทับใจ และปลื้มปิติไปกับทั้งอาจารย์และผู้ป่วยมากเลย

ความประทับใจที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งก็คือ ผมได้มีโอกาสเรียนการทำคลอดกับท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าภาควิชาในเวลานั้น ท่านได้สอนแสดงการทำคลอดทารกที่เคลื่อนต่ำลงมาเรื่อย ๆ ในช่วงเจ็บครรภ์คลอด แต่ศีรษะยังคงวางอยู่ในแนวขวางกับช่องทางคลอดไม่ยอมหมุนมาอยู่ในแนวขนานกับช่องทางคลอด ท่านอาจารย์ได้ใช้คีมสำหรับหมุนศีรษะทารกหมุนศีรษะทารกจนมาอยู่ในแนวขนานกับช่องทางคลอด แล้วถอดคีมออก ตามด้วยการใส่คีมสำหรับคีบหัวเด็กเข้าไปดึงศีรษะทารกออกมา หัตถการที่เห็นในวันนั้นตราตรึงในใจผมมาก สนุกยิ่งกว่าการดูภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่โรงภาพยนตร์ชินทัศนีย์ ย่านสันป่าข่อยของตัวเมืองเชียงใหม่หลายเท่า

ด้วย 2 เหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผมมั่นใจว่า การให้กำเนิดเป็นเรื่องความสวยงามของชีวิต และทำให้ผมตัดสินใจเลือกที่จะเป็นสูตินรีแพทย์

IDV 096 5


ทำไมต้องเป็นอาจารย์แพทย์

ช่วงเวลาที่จะจบการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน ผมต้องไปสอบภาคปฏิบัติในการตรวจผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กับศาสตราจารย์ แพทย์หญิงชวนชม สกนธวัฒน์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายหลังการสอบอาจารย์ได้ชักชวนผมให้ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผม

ตั้งแต่จบการฝึกอบรมผมคิดเพียงแค่ไปหาโรงพยาบาลอยู่สักแห่ง และผมได้ขอต้นสังกัดจากจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยระบุว่าเมื่อจบการฝึกอบรมจะขอไปทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์

จากการชักชวนของศาสตราจารย์แพทย์หญิงชวนชม สกนธวัฒน์ ทำให้ความอยากเป็นครูของผมที่เคยใฝ่ฝันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมและมอดดับไปเกือบหมดแล้ว กลับลุกโชนขึ้นมาใหม่ ผมตัดสินใจลาออกจากกระทรวงสาธารณสุขไปเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และทำงานที่นั่นอยู่ประมาณ 5 ปี จนมีครอบครัวที่นั่น

หลังจากนั้นผมได้ถูกชักชวนเชิงบังคับจากศาสตราจารย์ นายแพทย์ สมหมาย ถุงสุวรรณ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขณะนั้น ให้ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ โดยมาเป็นอาจารย์ที่ศิริราช ใจจริงผมอยากจะอยู่ขอนแก่นต่อด้วยเหตุผลเรื่องครอบครัว แต่อาจารย์สมหมายครูที่รู้ใจลูกศิษย์อย่างผมทุกอย่าง ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยหว่านล้อมผมด้วยเหตุผลต่าง ๆ เพื่อให้ผมย้ายครอบครัวลงมาอยู่กรุงเทพฯ ให้ได้ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะผมยิ่งใหญ่อะไร แต่เพราะอาจารย์ต้องการให้ผมมาสานต่องานเวชระเบียนของภาควิชาที่อาจารย์ทุ่มเทมาทั้งชีวิตแต่ไม่มีใครสนใจมาสืบต่องาน เพราะดูเป็นงานที่น่าเบื่อและไร้ประโยชน์ของการเป็นแพทย์


ความประทับใจที่เก็บไว้ในความทรงจำ

ผมเป็นอาจารย์แพทย์มายาวนานจนถึงวันนี้ประมาณ 35 ปีแล้ว ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ผมมีโอกาสได้ทำงานที่ผมรักครบถ้วนแล้ว ผมได้สอนนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านนับเป็นพันคน ได้ตรวจ ดูแลรักษา ผ่าตัด และทำคลอดผู้ป่วย จำนวนมากมาย มีเรื่องราวดี ๆ เรื่องราวที่สวยงาม ที่ผมประทับใจและเก็บสะสมไว้ในความทรงจำมากมาย ทั้งเรื่องของผู้ป่วยที่ผมดูแลรักษาและนักศึกษาแพทย์ที่ผมสอน

ขอเล่าตัวอย่างเรื่องราวดีของผู้ป่วยที่มารับการรักษากับผมสัก 2 – 3 เรื่องนะครับ

เรื่องแรก คือเรื่องของผู้ป่วยรายหนึ่งที่มาหาผมด้วยอาการปวดท้องน้อยจากการตรวจ ผมพบว่าอาการปวดของเธอเกิดจากการก้มเงยและยกของหนัก ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรงอะไร ผมได้ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวและยาไปรับประทานซึ่งผู้ป่วยเข้าใจคำแนะนำของผมดี

หลังจากนั้นผมได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งตัวผู้ป่วยและสามีของเธอซึ่งมีอายุประมาณ 50 ปีเศษทั้งคู่ ผมได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทั้งสองคนมีอาชีพขายผัก มีลูกชายหญิง 3 คน ซึ่งทำงานหมดแล้ว ทุกวันทั้งคู่ต้องขนผักใส่รถบรรทุกขนาดเล็กไปขายตามที่ต่าง ๆ จนเมื่อประมาณ 1 ปีก่อน ตัวภรรยามีอาการตัวบวม แพทย์ที่ตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรัง และต้องรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนไต ลูกทุกคนของทั้งคู่สมัครใจที่ให้ไตของตัวเองเพื่อเปลี่ยนให้แม่ แต่ผู้เป็นสามีของผู้ป่วยและพ่อของลูก ขอเป็นผู้มอบไตของตัวเองให้ภรรยาแทนทุกคน

ผมถามเหตุผลของการมอบไตตัวเองให้ภรรยา สามีของผู้ป่วยบอกผมว่า “ผมกับภรรยารักกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก เรียนชั้นมัธยมด้วยกัน และตัดสินใจแต่งงานกันตั้งแต่ทั้งคู่อายุได้ 15 ปี ท่ามกลางคำคัดค้านจากทุกคนที่เกี่ยวข้อง ภายหลังแต่งงานผมและภรรยาได้ลาออกจากโรงเรียนและมาช่วยกันขายผักจนกลายเป็นธุรกิจที่มั่นคงของครอบครัวจนทุกวันนี้ ผมรักเธอไม่เคยเสื่อมคลาย ยามที่เธอมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บมันก็เหมือนปัญหาของผมเองด้วยเช่นกัน การที่ผมอยากให้ใช้ไตของผมเพื่อแทนไตที่เสียของภรรยาก็เพื่อยืนยันกับเธอว่า ผมยังรักเธอเสมอ การที่ไตของผมจะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเธอจะเป็นเครื่องยืนยันความรักของผมโดยไม่ต้องพูดจากปาก” ขณะที่สามีกำลังพูดผมมองเห็นดวงตาที่เปี่ยมสุขของผู้ป่วยอย่างชัดเจนและต้องบอกว่าผมประทับใจครอบครัวนี้มาก และยังจำเรื่องราวนี้ไว้ในความทรงจำของผมตลอดมา ผมอยากจะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “ฝากไว้ในกายเธอเพื่อรักนิรันดร์” จะดีไหมครับ

IDV 096 2

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ลูกน้อยในครรภ์มีโรคหัวใจที่เรียกชื่อทางการแพทย์ว่า Tetralogy of Fallot โรคนี้เป็นความพิการแต่กำเนิดที่รุนแรง เนื่องจากมีห้องหัวใจไม่ครบ ลิ้นหัวใจมีปัญหา หลอดเลือดแดงใหญ่สูบฉีดเลือดเข้าและออกจากหัวใจสลับกัน ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อจากโรงพยาบาลต่างจังหวัดมาที่ศิริราช

ที่ศิริราช เราวางแผนการดูแลรักษาและผ่าตัดคลอดโดยสูติแพทย์และผ่าตัดโรคหัวใจของทารกโดยแพทย์ศัลยกรรมเด็ก ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ทำยากมาก ภายหลังการผ่าตัดเราได้จัดแพทย์เพื่อดูแลทารกคนนี้เป็นการเฉพาะและให้มีการรายงานการดำเนินโรคของผู้ป่วยทุกวัน

เด็กรายนี้ได้รับการดูแลอยู่ประมาณเดือนเศษ มีการบันทึกเวชระเบียนของการดูแลรักษาทุกวัน จนเวชระเบียนมีความหนานับ 1,000 หน้า ในที่สุดเด็กคนนี้ก็เสียชีวิต

คณะแพทย์ของผมได้แจ้งข่าวและแสดงความเสียใจกับพ่อแม่ของเด็กน้อยซึ่งคุณพ่อของเด็กได้บอกกับพวกเราว่า “ผมเสียใจที่ลูกผมเสียชีวิต แต่ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหมอ แม้ว่าลูกของเราจะตาย แต่เป็นการตายที่สมศักดิ์ศรี การตายของลูกผมครั้งนี้ทำให้ผมเรียนรู้เรื่องชีวิตของคนและอาชีพแพทย์ที่ควรจะเป็นอย่างชัดเจน ผมมองเห็นในการทุ่มเทของคุณหมอทุกคนแม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการยื้อชีวิตลูกผม แต่คุณหมอทุกท่านประสบความสำเร็จในการให้ความคิดแก่ผมแล้วครับ คิดไม่ผิดเลยครับที่พาลูกมารักษาต่อที่ศิริราชแม้ว่ากระบวนการในการมาจะยุ่งยากและน่าเหนื่อยหน่ายก็ตาม การใส่ใจในการดูแลลูกของผมทำให้ทุกปัญหาที่มีกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่จำเป็นพูดถึง”

คำพูดของคุณพ่อเด็กรายนี้ คือ น้ำทิพย์ชโลมใจแพทย์ทุกคน และทำให้ผมมีคำพูดดี ๆ ที่จะใช้ในการสอนนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านรุ่นต่อ ๆ มาว่า “ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ไม่มีทางที่เราจะรักษาทุกคนให้หายได้หมด เพราะความรุนแรงของโรคที่ผู้ป่วยแต่ละคนมีหรือเป็นมากน้อยไม่เท่ากัน การตั้งใจดูแลรักษาผู้ป่วยแม้จะเต็มที่แล้วแต่ผู้ป่วยก็ยังเสียชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราจะพ่ายแพ้ทั้งหมด การชนะใจผู้ป่วยหรือครอบครัวก็ถือว่าการรักษาดังกล่าวประสบความสำเร็จเช่นกัน”

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 คนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาเรียนวิชาสูติศาสตร์กับผมเมื่อประมาณ 10 ปีแล้ว ผมจำได้แม่นยำว่านักศึกษาแพทย์คนนี้มีพฤติกรรมในการเรียนที่น่าจะมีปัญหาเพราะตอนที่ผมสอนในห้องเรียนเขานั่งหลับตลอดเวลา ต่อมาเมื่อผมสอนการทำคลอดกับผู้ป่วยจริงในห้องคลอด เขาก็ยืนพิงไหล่เพื่อนและหลับได้ เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาไม่น่าจะเกิดจากการสอนของผมที่อาจจะน่าเบื่อ ผมได้ถามอาจารย์ท่านอื่นที่มีโอกาสสอนนักศึกษาแพทย์คนนี้ก็พบว่าเขาหลับในชั่วโมงเรียนเช่นกัน

ผมคิดว่าพฤติกรรมการเรียนของนักศึกษาแพทย์รายนี้ควรจะได้รับการแก้ไข จึงได้เรียกเขามาคุยด้วยในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผมได้ถามเขาว่าทำไมจึงหลับขณะเรียนจนเป็นที่รับรู้ของอาจารย์เกือบทั้งภาควิชา

คำตอบที่ผมได้รับ ซึ่งมองจากดวงตาของเขาแล้ว ผมมั่นใจว่าเป็นคำตอบที่ใช้ใจพูดก็คือ “ผมหลับในเกือบจะทุกคาบของการเรียนเพราะผมเบื่อครับผมไม่ชอบการเรียนแบบนี้ การเรียนที่เร่งรีบ เนื้อหามาก ต้องจำมาก ใช้ความคิดน้อย ยังไม่รู้เรื่องหรือเข้าใจเนื้อหาก็ย้ายไปเรียนที่แผนกอื่นแล้ว แต่ที่ “ทนเรียน” มาจนถึงชั้นปี 5 ก็เพราะกลัวว่าพ่อแม่ที่อยากให้ผมเป็นหมอจะเสียใจ” ผมถามเขาว่า “คุณคิดว่าคุณยังอยากจะเรียนแพทย์อยู่ไหม ?”เขาตอบว่า “ผมคิดว่าวิชาแพทย์ยังเป็นวิชาที่น่าเรียนและเขายังอยากเรียนอยู่ครับ เพราะผมก้าวเข้ามาในวิชาแพทย์นานเกินไปแล้ว และการจะย้ายไปเรียนวิชาอื่นผมว่าไม่น่าจะคุ้ม”

“ถ้าอย่างนั้นขอถามต่อว่า คุณยังมีคุณแม่อยู่ด้วยใช่หรือไม่?” ผมถาม เขาตอบว่า “ยังอยู่ด้วยกันครับ” ผมถามต่อว่า “ถ้าคุณแม่ของคุณไม่สบายและคุณพาไปหาหมอคนหนึ่งที่คุณรู้ว่ามีความรู้ทางการแพทย์เหมือน ๆ คุณตอนนี้ คุณจะยอมให้เขารักษาแม่คุณไหม ?” “ไม่อย่างแน่นอนครับ” เขาตอบและพูดเพิ่มเติมว่า “ผมไม่ต้องการให้แม่ผมได้รับการรักษากับหมอที่ไม่มีความรู้ ผมไม่อยากให้แม่ผมโชคร้ายครับ”

ผมให้ข้อคิดแก่เขาว่า ผมอยากให้เขาเรียนแพทย์ต่อ เพราะเขาไม่อยากให้ผู้ป่วยถูกทำร้ายจากการรักษาที่ไร้ความรู้ของแพทย์ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่คนเป็นแพทย์ควรจะมี

“ถ้าคุณโง่คนที่เดือดร้อนไม่ใช่คุณแต่จะเป็นผู้ป่วยที่มารักษากับคุณ ถ้าคุณสงสารเขา ตั้งใจเรียนให้รู้จริงอีกหน่อยนะเพราะคุณจะจบแล้ว ขอให้คุณโชคดี ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาคุยกับผม ผมชอบคุณ คุณเป็นคนเก่ง อย่าเพิ่งท้อแท้ชีวิตเลย”

ภายหลังการพูดคุย เขาย้ายไปเรียนที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ หนึ่งเดือนต่อมา มีจดหมายน้อยฉบับหนึ่งมาวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม ข้อความในจดหมายเขียนว่า “อาจารย์วิทยาครับ ผมสัญญากับอาจารย์ว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่โง่อีกแล้ว” และเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาเพิ่งเขียนมาบอกว่าเขากำลังจะจบเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจแล้ว ผมดีใจมากกับข่าวนี้ครับ

IDV 096 3


แพทย์ยุคปัจจุบันในความรู้สึกส่วนตัว

ผมไม่อยากให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีมากมายหลายประเด็น อยากจะขอกล่าวเฉพาะเรื่องของผู้เป็นแพทย์เท่านั้น

ผมมีความเห็นว่าคนที่มาศึกษาเล่าเรียนจนได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับการเรียกว่า “คุณหมอ” ในปัจจุบัน มีการดำเนินชีวิตแตกต่างกัน 4 แบบใหญ่ คือ

แบบแรก คือ ผู้ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโดยคำนึงถึงทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องราวชีวิตผู้ป่วยที่อาจส่งผลกระทบการดูแลรักษาของแพทย์และการดำเนินชีวิต ไม่ได้รักษาแค่โรคอย่างเดียว แพทย์แบบนี้มักเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน เพราะต้องเสียเวลากับผู้ป่วยมาก ต้องช่วยแก้ปัญหานอกเหนือจากรักษาโรค ผลตอบแทนในการทำงานก็มักไม่คุ้มค่ากับเวลาและแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไป แต่สิ่งที่จะได้คือ ความสุขทางใจ และความศรัทธาจากผู้ป่วย แพทย์ในกลุ่มนี้น่าจะยังมีอยู่พอควรแต่น่าหมดไปเรื่อย ๆ ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ซึ่งมองไม่เห็นคุณค่าของแพทย์แบบนี้

แบบที่สอง คือ นักซ่อมมนุษย์ แพทย์กลุ่มนี้จะทำงานที่ตัวเองเชี่ยวชาญจริง ๆ ลักษณะงานค่อนข้างแคบ แต่ลงลึก แพทย์กลุ่มนี้มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความก้าวหน้าทางวิชาการแพทย์

แบบที่สาม คือ แพทย์พาณิชย์ แพทย์กลุ่มนี้มีพัฒนาการไปอย่างมาก จนผมคิดว่าน่าจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือแพทย์พาณิชย์ที่ทำการค้ากับ

แพทย์ด้วยกันเอง และแพทย์พาณิชย์ที่ทำการค้ากับผู้ป่วยหรือผู้มารับบริการแพทย์พาณิชย์ที่ทำการค้ากับแพทย์ด้วยกันเอง เป็นแพทย์พาณิชย์ที่น่าจะเกิดใหม่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่นานมานี้ เช่น แพทย์ที่มีความสามารถในการผ่าตัดบางประเภทเปิดสอนแพทย์ด้วยกันโดยคิดค่าสอนค่าเรียนถูกแพงตามความพอใจของผู้สอน ไม่มีการเรียนการสอนในลักษณะพี่สอนน้องหรือเพื่อเป็นวิทยาทานแล้ว

แพทย์พาณิชย์ที่ทำการค้ากับผู้ป่วยหรือผู้มารับบริการ แพทย์กลุ่มนี้คือนักซ่อมมนุษย์ที่ทำงานแบบรับจ้างทำของ เช่น รับจ้างผ่าตัดเสริมความงามหลากหลายประเภท โดยคิดค่าตอบแทนตามความยากง่าย หรือรับผ่าตัดคลอดแบบแพ็กเกจด้วยราคาที่มากน้อยแล้วแต่จะกำหนด

ปัญหาที่ยังถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน ก็คือ การมีแพทย์พาณิชย์ส่งผลกระทบต่อวงการแพทย์และสังคมอย่างไร คนที่คิดเรื่องเงินและรายได้เป็นหลัก ก็เห็นประโยชน์ของการมีแพทย์พาณิชย์เพื่อนำรายได้จากต่างประเทศเข้าประเทศ แต่ในทางตรงกันข้ามก็มีผู้ที่เห็นว่า การมีแพทย์พาณิชย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางลบเหมือนกัน เช่น ทำให้มีการเคลื่อนย้ายของแพทย์กลุ่มอื่นที่จำเป็นในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเคลื่อนย้ายมาเป็นแพทย์เสริมสวยที่จำเป็นน้อยกว่า

ในส่วนตัวของผม ผมมีความคิดว่า เมื่อมีแพทย์พาณิชย์ แพทย์กลุ่มนี้ก็จำเป็นต้องมีการโฆษณา มีการตลาด สิ่งที่ตามมาก็คือ กิจกรรมหลายอย่างที่ทำให้ผมมีความรู้สึกทั้งเศร้าใจ สังเวช เพราะสิ่งที่โฆษณาและกิจกรรมทางการตลาดหลายอย่างมันขัดทั้งหลักวิชาการ หลักคุณธรรมที่แพทย์พึงมี เช่น การโฆษณาโอ้อวดว่ามีความสามารถรักษาโรคบางอย่างด้วยเครื่องมือพิเศษที่วงการแพทย์ยังไม่ให้รับการยอมรับ การโฆษณาว่าสามารถรักษาคุณแม่ที่มีบุตรยากโดยทำให้ตั้งครรภ์เป็นครรภ์แฝดเลย การโฆษณาเช่นนี้ผิดทั้งหลักวิชาและจริยธรรม เพราะในตำราทางการแพทย์กล่าวว่า การตั้งครรภ์แฝดเป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลายประการซึ่งทำให้มารดาและทารกอาจมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ การตลาดบางอย่าง เช่น ผ่าตัดตรงนี้ราคาหนึ่ง ถ้าผ่าตัดที่อื่นเพิ่มมีลดให้ 20% เป็นต้น ผมไม่แน่ใจว่าต่อไปจะมีการตลาดอะไรขึ้นมาอีก

ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนมาแพทยสภาซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดจากการกระทำของแพทย์พาณิชย์มากมายทุกเดือน ลักษณะเรื่องที่ร้องเรียนก็มีหลากหลายหลายเรื่องทำให้เห็นถึงความเสื่อมถอยไม่ใช่แค่จรรยาแพทย์ของแพทย์ แต่เห็นถึงความเสื่อมถอยของความเป็นคนที่ดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความโลภ การโกหกหลอกลวง การเอาเปรียบ การมองเห็นคนเป็นแค่ของเสียหรือชำรุดที่รอการซ่อม

แบบที่สี่ แพทย์ที่ผันตัวเองไปทำอาชีพอื่น

อาชีพใหม่ที่แพทย์กลุ่มนี้เปลี่ยนไปทำ บางอาชีพก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องการดูแลรักษาผู้ป่วย เช่น เป็นผู้บริหารหน่วยงานของรัฐและเอกชนทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข แต่บางคนก็เปลี่ยนออกจากวงการแพทย์ไปเลย เช่น เป็นผู้ขายตรงสินค้าบางอย่าง เช่น อาหารเสริมและของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ลูกศิษย์ผมบางคนไปขายเครื่องกรองน้ำก็มี แพทย์กลุ่มนี้มีสัดส่วนไม่มากนักและไม่ค่อยมีปัญหาให้ปรากฏเหมือนแพทย์แบบที่สาม


บุคคลที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

งานส่วนใหญ่ในชีวิตของผมคือการสอนนักศึกษาแพทย์และการดูแลรักษาผู้ป่วย สำหรับเรื่องการดูแลรักษาผู้ป่วย ผมได้รับแนวคิดและแรงบันดาลใจจากอาจารย์มากมายหลายท่านแล้วนำมาปรับเป็นของผมเอง แต่ในเรื่องการสอนนักศึกษาแพทย์ ผมมีอาจารย์ที่ผมนำเอาวิธีการสอนของท่านมาปรับใช้ 2 ท่าน

ท่านแรกคือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ (พี่) วินัยศักดิ์ ขัตติพัฒนาพงษ์ อาจารย์เคยสอนวิชาศัลยศาสตร์ผมและเพื่อน ๆ สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ที่เชียงใหม่ อาจารย์ชอบนัดนักศึกษาแพทย์มาติวตอนค่ำเกือบทุกวันโดยไม่แสดงความเบื่อหน่ายเลย ผมจบแพทย์เชียงใหม่ด้วยความรู้และความเข้าใจในวิชาศัลยศาสตร์จากอาจารย์วินัยศักดิ์มากมาย ความประทับใจในพี่วินัยศักดิ์ไม่เคยหายไปจากใจผม เมื่อผมมาเป็นอาจารย์ที่ศิริราช ผมจึงทำเช่นเดียวกับที่ผมเคยได้รับมา ผมนัดนักศึกษาแพทย์ที่ศิริราชที่ผ่านมาเรียนวิชาสูติศาสตร์กับผมมาติวทุกเย็นวันอังคาร โดยผมทำเช่นนี้มานาน 22 ปีแล้ว ผมไม่แน่ใจว่านักศึกษาแพทย์ที่ผ่านการติวกับผมจะได้ความรู้มากมายเหมือนที่ผมเคยได้รับหรือไม่ แต่ที่รับรู้ด้วยใจก็คือ ผมมีนักศึกษาแพทย์ที่มีความผูกพันกับผมไม่น้อยเลย

ท่านที่สอง ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ วราวุธ สุมาวงศ์ หรือวราห์ วรเวช นักแต่งเพลง อาจารย์วราวุธเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผมไม่เคยเรียนกับอาจารย์ แต่เคยซื้อหนังสือที่อาจารย์เขียนมาอ่าน ชื่อ “คู่มือฝากครรภ์และทำคลอด” เชื่อไหมพอผมอ่านหนังสือเล่มนี้ เหมือนผมเข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งเลย อาจารย์เขียนเหมือนเล่าอะไรให้ผมฟัง ไม่ได้เขียนเป็นทฤษฎีหรือบทความที่น่าเบื่อหน่าย จากหนังสือที่หนาหลายร้อยหน้า ผมใช้เวลาอ่านเพียง 5 วัน เหมือนอ่านนิยายกำลังภายในที่แสนสนุกเลย หนังสือเล่มนั้นทำให้ผมเข้าใจและรักวิชาสูติศาสตร์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพราะหนังสือเล่มนี้ ผมได้นำวิธีเขียนของอาจารย์มาเป็นต้นแบบในการเขียนหนังสือของผมทั้งการเขียนตำราทางการแพทย์และการเขียนบทความอื่น ๆ และทุกเล่มที่ผมเขียนประสบความสำเร็จในการจำหน่าย แต่น่าจะใช้ขอตำแหน่งทางวิชาการยากเพราะไม่ค่อยเข้ากับจริตของหลักเกณฑ์การเขียนตำราเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ ปัจจุบันอาจารย์วราวุธกับผมมีโอกาสพบปะกันหลายครั้ง และผมไม่เคยลืมที่จะเล่าแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือของผมว่ามาจากอาจารย์วราวุธที่ผมให้ความเคารพตลอดมา

IDV 096 4


คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต

ผมคิดว่าสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการคือ “ความสุข” แต่ปัญหาก็คือ ความสุขของแต่ละคนมีที่มาไม่เหมือนกัน สำหรับผม ผมมีคติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เพื่อให้มีความสุข 2 ข้อครับ

ข้อแรก ทำงานที่เราหลงใหล

ผมชอบเป็นครู ชอบเป็นหมอ ผมสามารถทำงานทั้งสองอย่างนี้ได้อย่างลืมกาลเวลา

การเป็นครู ทำให้ผมได้สอนคน ได้พบกับลูกศิษย์จำนวนมาก ได้มีความผูกพันกันฉันท์ศิษย์ครู ได้เห็นความก้าวหน้าในชีวิตของศิษย์ที่ผมมีส่วนผลักดันและช่วยสร้างความใฝ่ฝัน

การเป็นหมอ ทำให้ผมได้มีโอกาสทำบุญโดยทำให้คนพ้นทุกข์ ซึ่งทำให้ผมได้รับความศรัทธาและความรู้สึกที่ดีงามจากผู้ป่วยที่เงินซื้อไม่ได้ และได้เพื่อนหลากหลายอาชีพที่ให้ความจริงใจกับผม

การทำงานที่รักทั้งสองประการข้างต้นทำให้ผมมีความสุขครับ

ข้อที่สอง มีความเพียรในงานที่ทำ

ความเพียรในงานที่ทำอาจน่าเหนื่อยหน่ายสำหรับบางคน แต่สำหรับผมมันคือความสุขที่มีโอกาสเหนื่อยแต่ไม่หน่าย งานหลายงานทำยากและโอกาสสำเร็จอาจไม่มาก แต่สำหรับผม การมีโอกาสได้ทำงานยากทำให้ชีวิตผมมีความสุข ผมคิดว่าการดำเนินชีวิตแบบปลาตายลอยตามน้ำแม้จะสบายดี แต่ชีวิตมันไม่มีคุณค่า ผมอยากจะเป็นปลาที่มีชีวิตที่ว่ายทวนน้ำมันเหนื่อย แต่มันทำให้ชีวิตผมมีความสุขครับ


ข้อแนะนำถึงแพทย์รุ่นใหม่และแพทย์ที่ดำเนินชีวิตในปัจจุบัน

ความจริงของชีวิตที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาก็คือ ทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย การเป็นแพทย์จะทำให้ท่านมีโอกาสช่วยผู้คนให้เกิดมาอย่างมีคุณภาพ แก่อย่างเป็นสุข เจ็บที่ทำให้บรรเทาหรือหายขาดได้ และตายอย่างมีศักดิ์ศรี

ผมหวังว่าทุกท่านที่เป็นแพทย์จะหาความสุขให้แก่ชีวิตตัวเองด้วยการประกอบวิชาชีพเวชกรรมเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่เพื่อนมนุษย์ ขอให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ และทรัพย์ ที่ท่านแสวงหาและใฝ่ฝัน จงได้มาบนพื้นฐานของการดำเนินชีวิตที่มีสติ และมีคุณธรรมนะครับ

ผมคิดว่า ความร่ำรวยที่เกิดจากการหลอกลวง ขูดรีด เอาเปรียบ จากการกระทำของคนที่เป็นแพทย์ เลวร้ายยิ่งกว่าการกระทำของมหาโจรครับ

ขอให้ระลึกไว้เสมอนะครับว่าในโลกยุคปัจจุบัน ทุกการกระทำของท่านไม่ว่าจะดีเลวอย่างไร ท่านไม่จำเป็นต้องบันทึกเองหรอกครับ มีผู้คนทั้งที่รักและไม่รักท่านกำลังบันทึกให้ท่านอยู่แล้ว เพียงแต่จะเปิดเผยออกมาเมื่อไรเท่านั้นเอง

ขอให้มีความสุขกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่สวยงามของท่านนะครับ

 

 

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก