CIMjournal
banner ความดัน 2

ประชากรจำนวนมากมีภาวะความดันโลหิตสูง แต่ไม่ได้รับการรักษา


ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นหนึ่งในสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตทั่วโลก การตรวจโรคความดันโลหิตสูงสามารถทำได้ง่าย ด้วยการวัดความดันโลหิตที่บ้านหรือสถานพยาบาล และส่วนใหญ่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยยาที่มีต้นทุนไม่สูงนัก ประชากรอายุระหว่าง
30 – 79 ปี กว่า 1.28 พันล้านคนทั่วโลก มีภาวะความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศรายได้ต่ำถึงรายได้ปานกลาง และมีเพียง 42% หรือน้อยกว่าที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ ผู้สูงอายุ พันธุกรรม ภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน การไม่ออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทั้งนี้ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการอะไร จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงละเลยการเข้าสู่การวินิจฉัยและรักษา ยกเว้นกรณีที่มีความดันโลหิตตั้งแต่ 180/120 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป อาจแสดงอาการได้ อาทิ ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่าหรือมีปัญหาในการมองเห็น วิตกกังวล สับสน ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ เลือดออกทางจมูก หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น


ผลสำรวจเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง

การศึกษาที่รวบรวมข้อมูลประชากรทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน ที่มีอายุ 30 – 79 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1990 – 2019 พบว่า ความชุกของโรคความดันโลหิตสูงในประเทศร่ำรวยลดลง แต่เพิ่มขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง โดยปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความชุกคือ ประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยราว 580 ล้านคน (41% ของผู้หญิง และ 51% ของผู้ชาย) ไม่ตระหนักถึงอาการของตนเอง เพราะไม่เคยได้รับการวินิจฉัย และพบว่าผู้ที่มีความดันโลหิตสูง 720 ล้านคน (53% ของผู้หญิง และ 62% ของผู้ชาย) ไม่ได้รับการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต ตามข้อมูลปี ค.ศ. 2019 พบว่าผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในสาธารณรัฐเกาหลีมีแนวโน้มได้รับการรักษามากที่สุดและมีการควบคุมความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ


แนวทางการรักษาความดันโลหิตสูงขององค์การอนามัยโลก

การรักษาทางเภสัชวิทยาสำหรับโรคความดันโลหิตสูงขององค์การอนามัยโลก (World health organization, WHO) ให้คำแนะนำตามหลักฐานเชิงประจักษ์โดยครอบคลุมระดับความดันโลหิตในการเริ่มยา ชนิดยาที่ควรใช้ ระดับความดันโลหิตเป้าหมาย และความถี่ในการติดตามผลการรักษา โดยระดับความดันโลหิตเป้าหมายของผู้ป่วยส่วนใหญ่คือ 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีโรคร่วม ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ต้องควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ที่ 130/80 มิลลิเมตรปรอท อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงต้องเพิ่มการเข้าถึงการรักษา รวมทั้งวินิจฉัยโรคร่วม อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ พร้อมทั้งส่งเสริมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเลิกสูบบุหรี่


การปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

การปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจะช่วยให้ระดับความดันโลหิตลดลง ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง และการเกิดความเสียหายที่ไต รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่มีปัจจัยเสี่ยงจากความดันโลหิตสูงได้ด้วย ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับป้องกันโรคความดันโลหิตสูงด้วย โดยแบ่งออกเป็นสิ่งที่ควรทำและควรเลี่ยง ดังนี้

  • สิ่งที่ควรทำ ได้แก่ รับประทานผักและผลไม้มากขึ้น ออกกำลังกายหรือเพิ่มกิจกรรมทางกายมากขึ้นเช่น การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ เต้น โดยแนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลางนานอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน กรณีที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนักควบคู่ไปด้วย
  • สิ่งที่ควรเลี่ยง ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม โดยไม่ควรรับประทานโซเดียมเกิน 2 กรัมต่อวัน ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวหรือไขมันทรานส์สูง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือเลิกบุหรี่ในผู้ที่มีภาวะเสพติด ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากเกินปริมาณที่แนะนำคือ ผู้ชายไม่ควรเกินวันละ 2 ดื่มมาตรฐาน และผู้หญิงไม่ควรเกินวันละ 1 ดื่มมาตรฐาน (แอลกอฮอล์ 1 ดื่มมาตรฐาน หมายถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 10 กรัม)


ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง

หากผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ ประการหนึ่งคือการเกิดความเสียหายที่หัวใจ เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงมากทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวขึ้น ปริมาณเลือดและออกซิเจนที่ไหลเวียนเข้าสู่หัวใจน้อยลง ทำให้มีอาการดังต่อไปนี้ คือ เจ็บหน้าอกโดยอาจปวดร้าวไปที่แขนซ้ายหรือท้องได้ด้วย อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน และทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเพราะหัวใจไม่สามารถบีบตัวเพื่อนำส่งเลือดและออกซิเจนสู่อวัยวะสำคัญอื่น ๆ ได้ และอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้

แนะนำอ่านเพิ่มเติม
บทสัมภาษณ์ ศ.นพ. พีระ บูรณะกิจเจริญ
แนวทางการดูแลพระสงฆ์ที่เป็นเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง 2566

 

เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
ข้อมูลจาก
  1. https://www.who.int/news/item/25-08-2021-more-than-700-million-people-with-untreated-hypertension
  2. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hypertension

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก