น.ท.หญิง พญ. ศิริพร ผ่องจิตสิริ
หน่วยโรคติดเชื้อ กองกุมารเวชกรรม
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พอ.
สรุปการประชุมใหญ่ประจำปี 2567 ครั้งที่ 28 สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย วันที่ 5 พฤษภาคม 2568
ชุดทดสอบที่ให้ผลอย่างรวดเร็ว (Rapid test) สำหรับวินิจฉัยโรคติดเชื้อมีการพัฒนาอย่างมาก การใช้ Rapid test มีความสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาโรคติดเชื้อ ช่วยให้การดูแลรักษาคนไข้โรคติดเชื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากขึ้น เนื่องจากอาการทางคลินิกอาจมีความคล้ายคลึงกัน จำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งการใช้ Rapid test จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องห้องปฏิบัติการที่มีจำกัดได้
Rapid test คือ การตรวจหาส่วนประกอบเชื้อหรือตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกาย ขึ้นอยู่กับชนิดของชุดตรวจ โดยชุดตรวจ Rapid test เป็นการตรวจที่สามารถทำได้รวดเร็วและสะดวก สามารถทำได้ในห้องตรวจผู้ป่วยนอก ทราบผลได้ภายใน 10 ถึง 30 นาที และราคาถูกกว่า แต่จะมีความจำเพาะและแม่นยำน้อยกว่า จึงเป็นเพียงการตรวจคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น สำหรับการตรวจแบบหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยเฉพาะ (Real Time Polymerase Chain Reaction; RT-PCR) เป็นการตรวจที่มีความถูกต้องแม่นยำสูง แต่ใช้เวลาในการตรวจนานกว่าใช้เวลานานหลายชั่วโมงหรืออาจนานถึงเป็นสัปดาห์ ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารวมถึงอาจมีจำกัด ไม่สามารถตรวจได้ทุกสถานพยาบาล
- Rapid Antigen Test: การตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อผลลัพธ์จะแม่นยำขึ้นเมื่อตรวจหลังจากได้รับเชื้อมาแล้ว 5 ถึง 15 วัน
- Rapid Antibody Test: เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาแอนติบอดี้ชนิด IgG และ IgM ซึ่งเป็นโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นมาหลังจากได้รับเชื้อ การใช้ชุดตรวจชนิดนี้จะให้ผลลัพธ์แม่นยำขึ้นหากตรวจหลังจากร่างกายติดเชื้อไปแล้ว ประมาณ 10 วัน หรือจนกระทั่งหายป่วย หากตรวจเร็วกว่านี้จะไม่พบแอนติบอดี้ ทำให้ผลตรวจลบลวงได้
ปัจจุบันมี Rapid test หลากหลายมากขึ้น ในบทความนี้จะขอกล่าวเฉพาะ Rapid test สำหรับโรคไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย และโรคติดเชื้อเอชไอวี
Rapid diagnosis test for dengue infection
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในระยะแรกของโรค ซึ่งอาการยังไม่เฉพาะเจาะจง มักวินิจฉัยได้ยาก การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อให้ได้การวินิจฉัยอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็น เป็นประโยชน์ต่อการรักษา และลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินจำเป็น ชุดทดสอบที่ให้ผลอย่างรวดเร็วมีหลายวิธี
การตรวจ NS1 antigen test:
Non-structural protein 1 (NS1) คือ ไกลโคโปรตีน พบว่า มีความเข้มข้นสูงในพลาสมาของผู้ที่ติดเชื้อระยะเริ่มแรก และมักสัมพันธ์กับโรคที่มีความรุนแรง1, 2 นอกจากนี้พบว่า สามารถตรวจพบระดับของ NS1 ได้ก่อนที่ IgM จะขึ้น จากการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างชุดตรวจ Pan-E Dengue Early ELISA จากบริษัท Panbio (Kit Pan-E) กับ Platelia Dengue NS1 AG จากบริษัท Bio-Rad (Kit Platelia) ในซีรั่มที่เก็บมาจากผู้ป่วยไข้เลือดออก ในวันที่ 2 – 6 ของไข้1 พบว่า ความไวของชุดตรวจ Pan-E และ Patelia เท่ากับร้อยละ 24 – 72 และ 34 – 76 ตามลำดับ ความไวของชุดตรวจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่
- ระยะของโรค ถ้าตรวจในช่วงแรกของโรค จะพบว่าความไวสูงกว่า โดยเฉพาะความไวจะดีมากเมื่อตรวจในช่วง 4 วันแรกของโรค
- ชนิดของสายพันธุ์ พบว่า สายพันธุ์ที่ 1 ให้ความไวต่อชุดตรวจสูงสุด และสายพันธุ์ที่ 2 มีความไวของชุดตรวจน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ อาจเกิดจากชุดตรวจต่าง ๆ มีความสามารถแตกต่างกันในการจับ กับ epitope ของ NS1 จาก serotype ต่าง ๆ หรืออาจเป็นเพราะปริมาณไวรัสในการติดเชื้อ serotype ต่าง ๆ อาจมีความแตกต่างกัน
- ความรุนแรงของโรค คิดว่าการตรวจพบ NS1 อาจมีความสัมพันธ์กับระดับไวรัสในเลือด (viremia) ดัง นั้น กรณีที่มีปริมาณไวรัสมาก อาการของโรคมักจะรุนแรง ทำให้การตรวจพบ NS1 ได้มากกว่า
ส่วนความจำเพาะของชุดตรวจเท่ากับ ร้อยละ 90 และ 100 ของชุดตรวจ Pan-E และ Platelia ตามลำดับ ซึ่งพบว่า Pan-E อาจมีผลบวกลวงได้จากการติดเชื้ออื่น ๆ ได้แก่ ไข้สมองอักเสบเจอี ไข้เหลือง และไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น1
ชุดตรวจแบบรวดเร็ว IgM และ IgG:
RDTs สำหรับการตรวจ IgM/IgG เป็นการตรวจแบบ Immunochromatographic หรือ immunoblot technique ซึ่งพัฒนามาจาก Enzyme linked immunosorbent assay (ELISA) ซึ่งชุดตรวจแบบนี้มีมาก่อนการตรวจ NS1 การแปลผลการตรวจ มีปัจจัยเกี่ยวข้องหลายอย่างควรแปลผลด้วยความระมัดระวังปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ระยะของโรค ถ้าตรวจในช่วงแรกของโรคจะให้ค่าความไวน้อยกว่าการตรวจในระยะหลังของโรค ตรงข้ามกับการตรวจ NS1 ซึ่งต้องตรวจในระยะแรกของโรค3
ผลบวกลวงอาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่ม Flavivirus ด้วยกัน เช่น Japanese encephalitis virus, Chikungunya virus, และ West-Nile virus โรคติดเชื้ออื่น ๆ ได้แก่ Leptospira spp., Burkholderia pseudomallei, Orientia tsutsugamushi, Plasmodium falciparum, Plasmodium vivax, tuberculosis รวมทั้งคนปกติได้ด้วย3 ระยะเวลาของการพบผลบวกของ IgM และ IgG อาจนานเป็นเดือน4 ซึ่งไม่สามารถบอกว่าเป็น acute infection ได้เนื่องจากเป็นการตรวจเชิงคุณภาพ ให้ผลบวกและลบเท่านั้น4
มีการศึกษา RDTs ที่ประเทศกัมพูชา พบว่าการวินิจฉัยโดยใช้ผลร่วมกันของ NS1 และ IgM/IgG ทำให้ ความไวของการวินิจฉัยดีขึ้น แม้ว่าความจำเพาะอาจลดลงบ้างเล็กน้อย5
โรคมาลาเรีย6
การทดสอบการวินิจฉัยโรคมาลาเรียอย่างรวดเร็ว (Rapid diagnostic testing: RDT) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากประวัติ อาการทางคลินิกและการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยการตรวจพบแอนติเจน (protein) จำเพาะที่ผลิตโดยเชื้อมาลาเรียในเลือดของผู้ติดเชื้อ RDT บางชนิดสามารถตรวจพบได้เพียงชนิดเดียว (Plasmodium falciparum หรือ P. vivax) ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ ตรวจพบได้หลายชนิด (P. falciparum, P. vivax) แต่ RDT จะไม่สามารถบอกปริมาณเชื้อมาลาเรียได้
RDT คือการทดสอบการตรวจจับแอนติเจน P. falciparum histidine-rich proteins (pfHRP2) โดยใช้ Immunochromatographic technique ซึ่งอาศัยการจับแอนติบอดีที่ติดฉลากด้วยสีย้อมเพื่อสร้างแถบที่มองเห็นได้บนแถบไนโตร-เซลลูโลส เรียกว่าคาสเซ็ต
RDT ความไวจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแอนติเจน ดังนั้นจะแปรผันตามความชุกของเชื้อ การทดสอบเดียวกันนี้อาจพบความไวสูงในกลุ่มประชากรที่ผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีความชุกของเชื้อสูง (เช่น มากกว่า 10,000 ปรสิต/ไมโครลิตร) แต่มีความไวต่ำในพื้นที่ที่ความชุกของเชื้อมักจะต่ำกว่า 200 ปรสิต/ไมโครลิตร ดังนั้นความไวที่ระบุโดยผู้ผลิต ต้องพิจารณาประกอบกับความชุกของเชื้อของประชากรที่ศึกษาด้วย นอกจากนี้ RDT อาจให้ผลบวกได้หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ภายหลังการติดเชื้อ จึงต้องแปลผลด้วยความระมัดระวัง
RDT สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคมาลาเรียได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในสถานการณ์ที่การวินิจฉัยด้วยกล้องจุลทรรศน์อาจไม่สามารถทำได้หรือไม่น่าเชื่อถือ RDT อาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ห่างไกลจากบริการกล้องจุลทรรศน์ที่ดี การวินิจฉัยในกลุ่มแรงงานที่เข้าสู่พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคมาลาเรียการสอบสวนการระบาดและการสำรวจความชุกของเชื้อ
โรคติดเชื้อเอชไอวี7
การทดสอบเอชไอวี (HIV) มีสามประเภท การทดสอบแอนติบอดี การทดสอบแอนติเจน/แอนติบอดี และการทดสอบกรดนิวคลีอิก (NAT) โดยทั่วไปการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ใช้การตรวจเลือดหา HIV antibody (Anti-HIV) การทดสอบที่รวดเร็วและสามารถทดสอบได้ด้วยตนเอง (self-test) ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration: FDA) คือการตรวจแอนติบอดี ซึ่งใช้เลือดจากหลอดเลือดดำ สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้เร็วกว่าการทดสอบด้วยเลือดจากปลายนิ้วหรือน้ำลาย โดยใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที
สำหรับการทดสอบด้วย NAT สามารถบอกได้ว่าบุคคลนั้นติดเชื้อ HIV หรือมีปริมาณไวรัสอยู่ในเลือดจำนวนเท่าใด (HIV viral load) NAT สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้เร็วกว่าการทดสอบประเภทอื่น ๆ การทดสอบนี้ควรพิจารณาสำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสเชื้อ และมีอาการเริ่มแรกของเอชไอวีหรือผู้ที่เคยทดสอบแอนติบอดีหรือแอนติเจน/แอนติบอดีเป็นลบ การทดสอบด้วยวิธีนี้อาจใช้เวลาหลายวันจึงจะทราบผล
อย่างไรก็ตามกรณีที่การติดเชื้อเพิ่งเกิดขึ้นภายในเวลาน้อยกว่า 1 เดือน การตรวจเลือดหา HIV antibody อาจยังตรวจไม่พบ เนื่องจากอาจเป็นเพราะอยู่ในช่วง window period การทดสอบแอนติบอดีมักจะตรวจพบเชื้อ HIV ได้ภายใน 23 ถึง 90 วันหลังจากได้รับเชื้อ การทดสอบแอนติเจน/แอนติบอดีอย่างรวดเร็วด้วยเลือดจากปลายนิ้วมักจะตรวจพบเอชไอวีได้ภายใน 18 ถึง 90 วันหลังจากได้รับเชื้อ การทดสอบแอนติเจน/แอนติบอดีในห้องปฏิบัติการโดยใช้เลือดจากหลอดเลือดดำ สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้ภายใน 18 ถึง 45 วันหลังจากได้รับเชื้อ ส่วนการทดสอบ NAT มักจะตรวจพบเชื้อ HIV ได้เร็วที่สุดประมาณ 10 ถึง 33 วันหลังจากได้รับเชื้อ ดังนั้น หากทดสอบ HIV หลังจากสัมผัสเชื้อ HIV และผลลัพธ์เป็นลบ ให้เข้ารับการทดสอบอีกครั้งหลังจากช่วงระยะเวลาที่กำหนดสำหรับการทดสอบแต่ละชนิด
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) แนะนำให้ทุกคนที่มีอายุระหว่าง 13 ถึง 64 ปี เข้ารับการตรวจหาเชื้อ HIV อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรได้รับการตรวจบ่อยขึ้น เป็นทุก 3 ถึง 6 เดือน หญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรได้รับการตรวจหาเชื้อ HIV เพื่อเริ่มให้การรักษาเร็วที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่ทารกในครรภ์ ความเสี่ยงของการติดเชื้อไปยังทารกจะต่ำมากเหลือน้อยกว่าร้อยละ 1
ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถตรวจหาเชื้อก่อโรคได้หลายชนิด แต่ก็มีความยุ่งยากซับซ้อน และยังมีราคาแพง Rapid test เป็นการตรวจที่สามารถทำได้รวดเร็วและสะดวก ความไวและความจำเพาะของชุดตรวจแตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดของชุดตรวจแต่ละบริษัท ความชุกของโรคในขณะนั้น ระยะเวลาของโรค การเก็บสิ่งส่งตรวจ แหล่งที่มาของสิ่งส่งตรวจ มาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบ และความชำนาญของผู้ตรวจ อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยต้องอาศัยอาการทางคลินิก และการติดตามอาการอย่างต่อเนื่องเป็นสำคัญ
- Guzman MG, Jaenisch T, Gaczkowski R, et al. Multi-country evaluation of the sensitivity and specificity of two commercially-available NS1 ELISA assays for dengue diagnosis. PLoS Negi Trop Dis. 2010; 4(8); e811.
- Libraty DH, Young PR, Pickering D, et al. High circulating levels of the dengue virus nonstructural protein NS1 early in dengue illness correlate with the development of dengue hemorrhagic fever. J Infect Dis. 2002; 186(8): 1165-8.
- Blacksell SD, Newton PN, Bell D, et al. The comparative accuracy of 8 commercial rapid immunochromatographic assays for the diagnosis of acute dengue virus infection. Clin Infect Dis. 2006; 42(8): 1127-34.
- Andries A-C, Duong V, Ngan C, et al. Field evaluation and impact on clinical management of rapid diagnostic kit that detects dengue NS1, IgM and IgG. Plos Negl Trop Dis. 2012; 6(12): e1993.
- Mahajan R, Nair M, Saldanha AM, et al. Diagnostic accuracy of commercially available immunochromatographic rapid tests for diagnosis of dengue in India. J Vector Borne Dis. 2021; 58(2):159- 164.
- World Health Organization (WHO). WHO guidelines for malaria. (https://www.who.int/teams/global-malaria-programme).
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Testing. (https://www.cdc.gov/hiv/basics/hiv-testing/test-types.)