CIMjournal
banner bird

Global guideline for the diagnosis and management of cryptococcosis: an initiative of the ECMM and ISHAM in cooperation with the ASM


พญ. ปนัสอร เขมาธรพญ. ปนัสอร เขมาธร
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

พญ. วนัทปรียา พงษ์สามารถรศ. พญ. วนัทปรียา พงษ์สามารถ
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

โรค Cryptococcosis เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อราในสกุล Cryptococcus ซึ่งเป็นเชื้อรารูปยีสต์มีแคปซูลหุ้ม (Encapsulated yeast) มี 2 สายพันธุ์ที่ก่อโรคในมนุษย์ ได้แก่ Cryptococcus neoformans (C. neoformans) และ Cryptococcus gattii (C. gattii) โดย C. neoformans พบในดินที่ปนเปื้อนมูลนกโดยเฉพาะนกพิราบ มักก่อโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่วน C. gattii พบบริเวณต้นไม้และดินโดยรอบ สามารถก่อโรคทั้งในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและผู้มีภูมิคุ้มกันปกติ1 เชื้อ Cryptococcus เข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจเอาละอองเชื้อราเข้าไป สำหรับการเกิดโรคอาจเกิดจากการหายใจเอาละอองเชื้อราเข้าสู่ร่างกายโดยตรงหรือจากเชื้อที่เคยอยู่ในร่างกายถูกกระตุ้นทำให้เกิดโรคขึ้นมา2 โดยเชื้อนี้ก่อโรคปอดอักเสบและเชื้อยังสามารถไปตามกระแสเลือดก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลางโดยเฉพาะที่เยื่อหุ้มสมอง กระดูก ผิวหนังหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้1

ในปี ค.ศ. 2022 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ C. neoformans เป็นเชื้อราที่มีความสำคัญสูงสุดที่ก่อโรคในมนุษย์ เนื่องจากเชื้อรานี้ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจำนวนมาก จากหลายการศึกษาที่ทำในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดพบอัตราการเสียชีวิตจาก Cryptococcal meningoencephalitis ใน 10 สัปดาห์หลังรักษาสูงถึงร้อยละ 24 – 473, 4, 5, 6 พบปัญหามากที่สุดในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางโดยเฉพาะประเทศในแถบ Sub-Saharan Africa ที่มีปัญหาผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ7 สำหรับประเทศไทยการติดเชื้อ C. neoformans เป็นการติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ของผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทย รองจากวัณโรค และ Pneumocystic jirovecii 8 จากการที่โรค Cryptococcosis เป็นปัญหาทั่วโลก จึงได้มีการพัฒนาแนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคนี้จากหลักฐานที่มีในปัจจุบัน โดยในบทความนี้จะเน้นกล่าวถึงอาการทางคลินิก การวินิจฉัย การรักษาโรคติดเชื้อราในระบบประสาทส่วนกลางในผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นหลักและในผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวีโดยสังเขป

จากแนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค Cryptococcosis แนะนำให้จำแนกกลุ่มอาการของผู้ติดเชื้อราเพื่อช่วยในการเลือกยาต้านเชื้อราและระยะเวลาในการรักษา โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มอาการ ได้แก่
  1. การติดเชื้อราที่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS cryptococcosis) หมายถึง การติดเชื้อรา Cryptococcal meningitis หรือmeningoencephalitis หรือการพบความผิดปกติชนิดอื่นในระบบประสาทส่วนกลาง เช่น cryptococcoma เส้นเลือดอักเสบ (vasculitis) การติดเชื้อราของเยื่อหุ้มสมอง CNS cryptococcosis เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยและรุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ตามองเห็นภาพซ้อนจากความดันในกะโหลกศีรษะสูง สับสน ต่อมามีชักหรือซึมลงได้ อาการมักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป2 แต่ในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องสามารถเกิดอาการแบบเฉียบพลันได้1
  2. การติดเชื้อราแบบแพร่กระจาย (Disseminated cryptococcosis) หมายถึง การติดเชื้อราที่อวัยวะใดก็ได้ ตามหลังการแพร่กระจายของเชื้อราทางกระแสเลือด จึงมักพบผลเพาะเชื้อราจากเลือดเป็นบวก แต่อย่างไรก็ตามหากผลเพาะเชื้อราในเลือดเป็นลบก็ยังไม่สามารถตัดการติดเชื้อแบบแพร่กระจายออกไปได้
  3. การติดเชื้อราเฉพาะที่ปอด (Isolated pulmonary cryptococcosis) หมายถึง การติดเชื้อราที่ปอดหรือเยื่อหุ้มปอด ผู้ป่วยมักไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย มักวินิจฉัยจากการพบความผิดปกติของภาพถ่ายรังสีปอดโดยบังเอิญ
  4. การติดเชื้อราบริเวณผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง (Direct skin inoculation cryptococcosis)2
    ในผู้ป่วยที่มีอาการทางคลินิกหรือมีผลตรวจทางจุลชีววิทยาที่เข้าได้กับโรค Cryptococcosis ควรคิดถึงการวินิจฉัยโรคนี้ไม่ว่าผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันเป็นอย่างไร


การวินิจฉัยโรคและการตรวจเพิ่มเติม

ผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยหรือได้รับการวินิจฉัยโรค Cryptococcosis รวมทั้งผู้ที่มีผลตรวจ Cryptococcal antigen ในเลือดเป็นบวก แม้ไม่มีอาการควรได้รับการตรวจร่างกายทุกระบบอย่างละเอียดโดยเฉพาะระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาการติดเชื้อแบบแพร่กระจาย ได้แก่
  1. ตรวจน้ำไขสันหลัง โดยวัดความดันเริ่มต้น และส่งตรวจนับเม็ดเลือด (cell counts) น้ำตาล โปรตีน ตรวจทางจุลชีววิทยา (microscopy) Indian ink เพาะเชื้อรา (fungal culture) และตรวจ cryptococcal antigen titer
  2. ส่งเลือดเพาะเชื้อรา และตรวจ cryptococcal antigen titer
  3. ส่งเสมหะหรือสิ่งส่งตรวจจากทางเดินหายใจหรืองสิ่งส่งตรวจจากอวัยวะที่สงสัยว่าติดเชื้อเพาะเชื้อรา
  4. ตรวจภาพถ่ายทางรังสีสำหรับสมอง (พิจารณาเลือก MRI) สำหรับทรวงอก (พิจารณาเลือก CT)2

การรักษา การติดเชื้อรา Cryptococcus ในระบบประสาทส่วนกลาง (CNS cryptococcosis) (แผนภูมิที่ 1 และ 2)

1. การให้ยาต้านเชื้อราโดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะ induction ระยะ consolidation และระยะ maintenance

ระยะ induction ในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดแนะนำให้ใช้ยา liposomal amphotericin B 10 มก./กก.ครั้งเดียว ร่วมกับ flucytosine 25 มก./กก.วันละ 4 ครั้งและ fluconazole 1,200 มก.วันละครั้งนาน 14 วัน ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ดังแสดงในแผนภูมิที่ 1 เนื่องจากมีการศึกษาทดลอง AMBITION-cm phase 3 ในประเทศใน Sub-Saharan Africa โดยเปรียบเทียบการรักษา Cryptococcal meningitis ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อเอชไอวี ระหว่างยา liposomal amphotericin B ขนาดสูง 10 มก./กก.ครั้งเดียวร่วมกับ flucytosine 100 มก./กก./วัน และ fluconazole 1,200 มก.วันละครั้งนาน 14 วัน เทียบกับยา amphotericin B deoxycolate 1 มก./กก./วัน ร่วมกับ flucytosine 100 มก./กก./วันนาน 7 วันต่อด้วย fluconazole 1,200 มก./วันอีก 7 วันซึ่งเป็นสูตรยาที่องค์การอนามัยโรคแนะนำในขณะนั้น9 พบอัตราการเสียชีวิตที่สัปดาห์ที่ 10 หลังเริ่มการรักษาร้อยละ 24.8 ในกลุ่มที่ได้ liposomal amphotericin B 10 มก./กก. ขนาดสูงครั้งเดียวและร้อยละ 28.7 ในกลุ่มที่ได้ amphotericin B deoxycolate 1 มก./กก./วัน นาน 7 วัน นอกจากนี้ในกลุ่มที่ได้ยา liposomal amphotericin B 10 มก./กก.ครั้งเดียว ยังพบผลข้างเคียงความรุนแรงระดับ 3, 4 (ระดับความรุนแรงอ้างอิงจาก Division of AIDS10) น้อยกว่ากลุ่มที่ได้ amphotericin B deoxycolate 1 มก./กก./วัน นาน 7 วันโดยพบผลข้างเคียงร้อยละ 50 และ 62.3 ตามลำดับ11 สำหรับประเทศที่มีทรัพยากรเพียงพอแนะนำให้ยา liposomal amphotericin B 3-4 มก./กก. วันละครั้งร่วมกับ flucytosine 25 มก./กก.วันละ 4 ครั้งนาน 14 วัน (สูตรมาตรฐาน) เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบสูตรยาระหว่างยา liposomal amphotericin B 10 มก./กก. ขนาดสูงครั้งเดียวร่วมกับ flucytosine 25 มก./กก.วันละ 4 ครั้งและ fluconazole 1,200 มก.วันละครั้งนาน 14 วันกับยาสูตรมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา (retrospective database review) ในการใช้ยาสูตรมาตรฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพบอัตราการเสียชีวิตขณะนอนโรงพยาบาลร้อยละ 10.5 ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีและร้อยละ 13.3 ในผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวีและอัตราเสียชีวิตที่ 1 ปีร้อยละ 11.6 ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา12,13

สำหรับผู้ป่วยเด็กมีการศึกษาการวินิจฉัยและการรักษา CNS cryptococcosis น้อยจึงอ้างอิงคำแนะนำจากข้อมูลการศึกษาในผู้ใหญ่ โดยขนาดยาต้านเชื้อราที่แนะนำในเด็ก คือ liposomal amphotericin B 10 มก./กก.ครั้งเดียวร่วมกับ flucytosine 100 มก./กก./วันแบ่งให้ 4 ครั้งร่วมกับ fluconazole 12 มก./กก.วันละครั้ง (ขนาดสูงสุด 800 มก.) สำหรับประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด โดยสูตรนี้ให้ได้เฉพาะในเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี9 หรือใช้สูตรการรักษาด้วย amphotericin B deoxycolate 1 มก./กก.หรือ liposomal amphotericin B 3-4 มก./กก.วันละครั้งร่วมกับ flucytosine 100-150 มก./กก./วันแบ่งให้ 4 ครั้งนาน 2 สัปดาห์2

พิจารณาตรวจน้ำไขสันและส่งเพาะเชื้อราที่ 1-2 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษาเพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษาในผู้ป่วยทุกรายและโดยเฉพาะในผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพื่อช่วยประเมินความพร้อมในการเริ่มยาต้านเอชไอวี โดยหากยังเพาะเชื้อพบเชื้อราที่ 2 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษาให้พิจารณายืดระยะ induction ออกไปก่อน ไม่แนะนำให้ตรวจติดตามการรักษาด้วย cryptococcal antigen ในเลือดและในน้ำไขสันหลัง รวมทั้งการตรวจเห็นเชื้อรา Cryptococcus ในน้ำไขสันหลังโดยที่เพาะเชื้อไม่ขึ้น หรือน้ำไขสันหลังยงคงมีผลตรวจผิดปรกติไม่ได้บ่งบอกถึงการรักษาล้มเหลว ให้ใช้อาการทางคลินิกและผลเพาะเชื้อเป็นหลัก

สำหรับการติดเชื้อรา C. gattii ในผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวีให้ยาระยะ induction นาน 4-6 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่มี Cryptococcoma ให้ยาในระยะ induction นาน 4-6 สัปดาห์ พิจารณาผ่าตัด Cryptococcoma ในกรณีที่มีก้อนขนาดใหญ่กว่า 3 cm หรือกดสมองส่วนสำคัญหรือก้อนไม่ตอบสนองต่อการรักษา และพิจารณาให้ Corticosteroids กรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่และมีการกดเบียด2

ระยะ consolidation แนะนำให้ยา fluconazole 400-800 มก./วันนาน 8 สัปดาห์โดยแนะนำขนาด 800 มก./วันในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด เนื่องจากมีการศึกษาในประเทศ South Africa และ Uganda พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของ Minimum Inhibitory Concentration (MIC) ของเชื้อต่อยา fluconazole14, 15 สำหรับในผู้ป่วยเด็กแนะนำให้ยา fluconazole 12 มก./กก.วันละครั้ง (ขนาดสูงสุด 800 มก.) นาน 8 สัปดาห์2

ระยะ maintenance แนะนำให้ยา fluconazole 200 มก./วัน นาน 12 เดือนหรือจนกว่าภูมิคุ้มกันฟื้นตัว (ระดับ CD4 มากกว่า 100 cell/mm3)2 สำหรับในผู้ป่วยเด็กแนะนำให้ยา fluconazole 6 มก./กก.วันละครั้ง (ขนาดสูงสุด 800 มก.) นาน 6-12 เดือน2

2. ติดตามผลข้างเคียงของยาต้านเชื้อรา จากการศึกษาพบว่ามีการทำงานของไตลดลงหลังการใช้ amphotericin B deoxycolate และ liposomal amphotericin B ร้อยละ 32 และ ร้อยละ 15 ตามลำดับ การใช้ flucytosine อาจพบภาวะ leukopenia, thrombocytopenia, pancytopenia และ hepatotoxicity ซึ่งทั้งหมดสัมพันธ์กับขนาดยา หากสามารถทำได้แนะนำให้เจาะระดับยาหลังเริ่มยา 3-5 มื้อหรือเจาะภายใน 72 ชั่วโมง โดยเจาะระดับยาที่ 2 ชั่วโมงหลังรับประทานให้ระดับยาอยู่ระหว่าง 25-100 มก./ล.16 สำหรับ fluconazole ทำให้ค่าการทำงานของตับผิดปกติได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจ CBC, BUN, Cr, electrolyte อย่างน้อยวันเว้นวันและ LFT ก่อนเริ่มการรักษาและอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ดังนั้นในผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยการติดเชื้อราในระบบประสาทส่วนกลางควรนอนโรงพยาบาลทุกรายประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษาเพื่อติดตามผลการรักษา ภาวะแทรกซ้อนจากโรคและผลข้างเคียงของยาต้านเชื้อรา2

3. รักษาภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (Raised intracranial pressure) ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อราที่เยื่อหุ้มสมองควรวัดความดันเริ่มต้นทุกครั้งที่มีการเจาะตรวจน้ำไขสันหลังและควรตรวจซ้ำที่ 48-72 ชั่วโมงหลังการตรวจครั้งแรกหรือในวันที่ 7 โดยไม่คำนึงว่าค่าความดันเริ่มต้นมีค่าเท่าไร เนื่องจาก observational study พบว่าการติดตามเจาะตรวจน้ำไขสันหลังหลังจากการตรวจครั้งแรกช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตในผู้ป่วยไม่ว่าค่าความดันเริ่มต้นมีค่าเท่าไร17, 18 สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการความดันในกะโหลกศีรษะสูงและมีความดันเริ่มต้น ≥ 20 เซนติเมตรของน้ำไขสันหลัง (cm of CSF) ให้เจาะน้ำไขสันหลังทุกวันเพื่อลดความดันประมาณครึ่งหนึ่งของความดันเริ่มต้นหรือให้อยู่ในค่าความดันปกติประมาณ 20 cm of CSF โดยระบายออกประมาณครั้งละ 20-30 มล.หากความดันในกะโหลกศีรษะยังสูงทั้งที่ได้ทำการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อระบายทุกวันแล้ว ควรให้การรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น temporary lumbar drainage, shunting, ventriculostomy2

4. ตรวจหาภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อรา Cryptococcus ได้แก่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุต่างๆรวมทั้งผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ภาวะ idiopathic CD4 lymphopenia (ICL) นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิที่พบได้ยาก เช่น autoantibodies to granulocyte-macrophage colony-stimulating factor (anti-GM-CSF autoantibodies) ซึ่งสัมพันธ์กับการติดเชื้อ C. gatti, X-linked hyper-IgM syndrome ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิคุ้มกันบกพร่องตรวจ anti-HIV และ CD4 T-cell count ทุกราย 2

5. การเริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวี พิจารณาจากสูตรยาต้านเชื้อราที่ผู้ป่วยได้รับ กรณีไม่ได้ยาต้านเชื้อราตามสูตรที่แนะนำดังกล่าวข้างต้นให้เริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษาเพื่อลดอัตราการเกิด Cryptococcosis-associated immune reconstitution inflammatory syndrome (C-IRIS) และอัตราเสียชีวิต กรณีได้ยาต้านเชื้อราตามสูตรที่แนะนำ ให้พิจารณาการเริ่มยาต้านเอชไอวีแบบจำเพาะในผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงอาการที่ดีขึ้น ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงหายไป ผลเพาะเชื้อราจากน้ำไขสันหลังไม่พบเชื้อ หากมีการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นได้มีการรักษาแล้วและผู้ป่วยมีความพร้อมในการเริ่มยา โดยทั่วไปแนะนำเริ่มที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์2 มีการศึกษา (retrospective analysis of combined cohorts) ในประเทศที่มีรายได้สูงในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้ยาต้านเชื้อราตามสูตรที่แนะนำพบว่าผู้ที่ได้รับยาต้านเอชไอวีที่ 2 สัปดาห์หลังเริ่มรักษา cryptococcal meningitis ไม่ได้มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มที่เริ่มยาต้านเอชไอวีที่ 2-8 สัปดาห์19 อย่างไรก็ตามการพิจารณาเริ่มยาต้านไวรัสเร็วควรมีความระมัดระวังอย่างใกล้ชิด และควรได้มีการทำการศึกษาที่เป็น randomised studies เพิ่มเติม

สำหรับประเทศไทยจากแนวทางการตรวจวินิจฉัย รักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทยปี 2564/2565 แนะนำให้เริ่มยาต้านเอชไอวี 4-6 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษาการติดเชื้อราในระบบประสาทส่วนกลาง และ 2-4 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษาการติดเชื้อรานอกระบบประสาทส่วนกลาง3 ซึ่งให้คำแนะนำเช่นเดียวกับแนวทางการป้องกันและรักษาการติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ใหญ่และเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี20 สำหรับผู้ใช้ยาต้านเอชไอวีหรือผู้เพิ่งเริ่มยาต้านเอชไอวีที่เริ่มยาไม่ถึง 2 สัปดาห์แต่มีการติดเชื้อรา cryptococcal meningitis ให้พิจารณาหยุดการใช้ยาต้านเอชไอวี 4-6 สัปดาห์และให้ยาต้านเชื้อราแล้วค่อยให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีต่อ

6. ติดตามอาการระหว่างการรักษา กรณีสงสัยอาการกลับเป็นซ้ำ (clinical relapse) เมื่อผู้ป่วยมีอาการทางคลินิกกลับมาใหม่หรือมีผลเพาะเชื้อราเป็นบวกหลังจากช่วงระยะเวลาที่โรคสงบ (ไม่มีอาการทางคลินิกและผลเพาะเชื้อราเป็นลบ) ให้สอบถามประวัติการรับประทานยาต้านเชื้อราและยาโรคประจำตัว ตรวจสอบอันตรกิริยาระหว่างยา หากทำได้ควรตรวจวัดระดับยาต้านเชื้อรา รักษาควบคุมโรคประจำตัว พิจารณาส่งตรวจหาสาเหตุทั้งการติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ เช่น ภาพถ่ายทางรังสีสมอง (CT หรือ MRI) เจาะตรวจน้ำไขสันหลังส่งเพาะเชื้อราและพิจารณาส่งตรวจความไวของยาต้านเชื้อราจากสิ่งส่งตรวจขณะที่เริ่มให้การรักษา หากยังมีเชื้อช่วงที่ทำการวินิจฉัยเก็บไว้ และสิ่งส่งตรวจขณะที่ผู้ป่วยมีอาการกลับเป็นซ้ำ หากพบว่า MIC ของยา fluconazole เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า แสดงว่าน่าจะมีการดื้อยาเกิดขึ้นให้พิจารณาเริ่มการรักษาใหม่โดยพิจารณาตามผลการตรวจความไวของยาต้านเชื้อราร่วมกับปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่แนะนำให้ติดตาม cryptococcal antigen และ cryptococcal antigen titer จากเลือดและจากน้ำเจาะไขสันหลัง2 เพราะว่าจากการศึกษาไม่พบการเปลี่ยนแปลงของ CSF cryptococcal antigen titer ที่ baseline เทียบกับสัปดาห์ที่ 2 หรือ 10 หลังเริ่มรักษา เนื่องจากพบว่า CSF cryptococcal antigen titer มีค่าลดลงร้อยละ 89 ในผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาและลดลงร้อยละ 64 ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา และยังพบว่า CSF cryptococcal antigen titer มีค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ในผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาและเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา21

กรณีสงสัยอาการของกลุ่มอาการ C-IRIS เมื่อผู้ป่วยมีอาการทางคลินิกกลับมาใหม่ภายหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว โดยอาการเป็นหลังจากที่ได้ยาต้านเอชไอวี และผลเพาะเชื้อรามักเป็นลบ ในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะนี้พิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อตัดสาเหตุจากการติดเชื้อซ้ำ (clinical relapse) หรือการติดเชื้อชนิดอื่นหรือความผิดปกติอื่นที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ พิจารณาส่งตรวจภาพถ่ายทางรังสีสมองและเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง การรักษาประกอบด้วยการเจาะระบายน้ำไขสันหลังหากมีความดันในกะโหลกศีรษะสูง การให้ยาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อาเจียน ยากันชัก หากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาดังกล่าวพิจารณาให้ยา corticosteroids โดยให้ prednisolone 0.5-1 มก./กก.วันละครั้ง หรือ dexamethasone 0.2-0.3 มก./กก.วันละครั้ง และค่อยๆลดภายใน 4-6 สัปดาห์ สำหรับยาต้านเชื้อราและยาต้านเอชไอวียังคงให้ต่อไป2


การคัดกรองการติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีและการให้การป้องกัน

แนะนำให้ตรวจคัดกรองการติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่อายุ 10 ปีขึ้นไปที่มี CD 4 < 200 cells/mm3 2 ซึ่งคำแนะนำนี้ต่างจากแนวทางทางการตรวจวินิจฉัย รักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทยปี 2564/2565 ที่ให้เริ่มตรวจในผู้ที่มี CD 4 < 100 cells/mm3 8 สำหรับองค์การอนามัยโลกแนะนำแบบ strong recommendation ให้ตรวจคัดกรองการติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ที่มี CD 4 < 100 cells/mm3 และ Conditional recommendation ให้ตรวจคัดกรองการติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ที่มี CD 4 < 200 cells/mm3 9 โดยตรวจเลือด lateral flow assay of cryptococcal antigen หากผลเป็นบวกให้ตรวจ cryptococcal antigen titer ตรวจร่างกายและตรวจเพิ่มเติมโดยละเอียดรวมทั้งเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง หากไม่พบความผิดปกติให้พิจารณาให้ยาต้านเชื้อรา (pre-emptive therapy) โดยให้ fluconazole 12 มก./กก. วันละครั้ง (ขนาดสูงสุด 800 มก.) นาน 2 สัปดาห์ตามด้วยการรักษาเช่นเดียวกับระยะ consolidation phase และระยะ maintenance2 เนื่องจากมีการศึกษาทดลองที่ประเทศ Uganda ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มี CD4 < 200 cells/mm3 โดยให้ยา fluconazole 200 มก.ต่อวัน 3 ครั้งต่อสัปดาห์เทียบกับยาหลอกและหยุดให้เมื่อ CD4 > 200 cells/mm3 พบว่าสามารถป้องกันโรค cryptococcosis ได้ 1 คนหากให้การรักษาผู้ป่วย 45 คน22 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในกลุ่มย่อยของ REALITY trial ศึกษาระดับ cryptococcal antigen titer เลือดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ CD4 < 100 cells/mm3 พบอุบัติการเกิดโรค cryptococcosis และการเสียชีวิตจากโรค cryptococcosis มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มที่มี cryptococcal antigen ในเลือดเป็นบวก23

แผนภูมิที่ 1 แนวทางการให้ยารักษาการติดเชื้อ CNS cryptococcosis

แผนภูมิที่ 2 แนวทางการรักษาการติดเชื้อ CNS cryptococcosis ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

เอกสารอ้างอิง
  1. Kimberlin DW, Barnett ED, Lynfield R, Sawyer MH. Hepatitis C. In: Red book 2021-2024: Report of the
    committee on infectious diseases. 32nd ed. Kimberlin DW, editor. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2021. P. 285-288
  2. Christina C Chang TSH. ECMM/Isham/ASM Global Guideline for the diagnosis and management of cryptococcosis [Internet]. [cited 2024 Mar 26]. Available from: https://www.idsociety.org/practice-guideline/Diagnosis-and-Management-of-Cryptococcosis/
  3. Day JN, Chau TTH, Wolbers M, et al. Combination antifungal therapy for cryptococcal meningitis. N Engl J Med 2013; 368: 1291–302.
  4. Beardsley J, Wolbers M, Kibengo FM, et al. Adjunctive dexamethasone in HIV-associated cryptococcal meningitis. N Engl J Med 2016; 374: 542–54.
  5. Molloy SF, Kanyama C, Heyderman RS, et al. Antifungal combinations for treatment of cryptococcal meningitis in Africa. N Engl J Med 2018; 378: 1004–17.
  6. Bicanic T, Wood R, Meintjes G, et al. High-dose amphotericin B with flucytosine for the treatment of cryptococcal meningitis in HIV- infected patients: a randomized trial. Clin Infect Dis 2008;
    47: 123–30.
  7. Rajasingham R, Govender NP, Jordan A, et al. The global burden of HIV-associated cryptococcal infection in adults in 2020: a modelling analysis. Lancet Infect Dis 2022; 22: 1748–55.
  8. แนวทางเวชปฏิบัติ HIV/AIDS ประเทศไทย [Internet]. [cited 2024 Mar 26]. Available from: https://www.thaiaidssociety.org/thailand-hiv-aids-guideline/
  9. Guidelines for diagnosing, preventing and managing cryptococcal disease among adults, adolescents and children living with HIV [Internet]. World Health Organization; [cited 2024 Mar 26]. Available from: https://www.who.int/publications-detail-redirect/9789240052178
  10. Division of AIDS (DAIDS) table for grading the severity of adult and pediatric adverse events, corrected version 2.1. Bethesda, MD: U.S. Department of Health and Human Services, National Institutes of Health, National Institute of Allergy and Infectious Diseases, Division of AIDS, July 2017 (https://rsc.niaid.nih.gov/sites/ default/f iles/daidsgradingcorrectedv21.pdf ).
  11. Jarvis JN, Lawrence DS, Meya DB, et al. Single-dose liposomal amphotericin B treatment for cryptococcal meningitis. N Engl J Med 2022; 386: 1109–20.
  12. Charalambous LT, Premji A, Tybout C, et al. Prevalence, healthcare resource utilization and overall burden of fungal meningitis in the United States. J Med Microbiol 2018; 67: 215–27.
  13. Pyrgos V, Seitz AE, Steiner CA, Prevots DR, Williamson PR. Epidemiology of cryptococcal meningitis in the US: 1997–2009. PLoS One 2013; 8: e56269.
  14. Naicker SD, Mpembe RS, Maphanga TG, et al. Decreasing fluconazole susceptibility of clinical South African Cryptococcus neoformans isolates over a decade. PLoS Negl Trop Dis 2020;
    14: e0008137.
  15. Smith KD, Achan B, Hullsiek KH, et al. Increased antifungal drug resistance in clinical isolates of Cryptococcus neoformans in Uganda. Antimicrob Agents Chemother 2015; 59: 7197–204.
  16. [Internet]. [cited 2024 Mar 26]. Available from: https://med.stanford.edu/content/dam/sm/bugsanddrugs/documents/antimicrobial-dosing-protocols/SHC-SMUG-Flucytosine.pdf
  17. Rolfes MA, Hullsiek KH, Rhein J, et al. The effect of therapeutic lumbar punctures on acute mortality from cryptococcal meningitis. Clin Infect Dis 2014; 59: 1607–14.
  18. Kagimu E, Engen N, Ssebambulidde K, et al. Therapeutic lumbar punctures in human immunodeficiency virus-associated cryptococcal meningitis: should opening pressure direct management? Open Forum Infect Dis 2022; 9: ofac416.
  19. Boulware DR, Jarvis JN. Timing of antiretroviral therapy in cryptococcal meningitis: what we can (and cannot) learn from observational data. Clin Infect Dis 2023; 77: 74–76.
  20. Cryptococcosis: NIH [Internet]. [cited 2024 Mar 26]. Available from: https://clinicalinfo.hiv.gov/en/guidelines/hiv-clinical-guidelines-adult-and-adolescent-opportunistic-infections/cryptococcosis
  21. Tuazon CU, Powderly WG, Cloud GA, et al. Utility of serum and CSF cryptococcal antigen in the management of cryptococcal meningitis in AIDS patients. Presented at: 36th Annual Meeting of the Infectious Disease Society of America; November 1998; Denver, CO. Abstract 334.
  22. Parkes-Ratanshi R, Wakeham K, Levin J, et al. Primary prophylaxis of cryptococcal disease with fluconazole in HIV-positive Ugandan adults: a double-blind, randomised, placebo-controlled trial. Lancet Infect Dis 2011; 11(12): 933-41.
  23. Pett SL, Spyer M, Haddow LJ, et al. Benefits of enhanced infection prophylaxis at antiretroviral therapy initiation by cryptococcal antigen status. AIDS 2021; 35(4): 585-94.
PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก