รศ. พญ. แพรว โคตรุฉิน
สาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (อายุรศาสตร์โรคหัวใจ)
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สรุปเนื้อหางานประชุมวิชาการ สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
บทนำ
รอมฎอน เป็นเดือนที่เก้าแห่งปฏิทินจันทรคติอิสลามและถือเป็นเดือนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมทั่วโลก
การถือศีลอด (Sawm) เป็นข้อปฏิบัติสำคัญที่ชาวมุสลิมต้องงดเว้นจากอาหาร น้ำ และความต้องการทางร่างกายอื่น ๆ ตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงพระอาทิตย์ตกเพื่อฝึกความอดทนและเสริมสร้างจิตใจให้เข้มแข็ง ศีลอด เป็นหนึ่งใน ห้าเสาหลักของศาสนาอิสลาม (Five Pillars of Islam) ร่วมกับ การปฏิญาณตน (Shahada) การละหมาด (Salah) การบริจาคทาน (Zakat) และการแสวงบุญ (Hajj) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวิถีชีวิตมุสลิม
ปัจจุบันมีชาวมุสลิมราว 2 พันล้านคนทั่วโลก ที่ถือปฏิบัติศีลอดในช่วงรอมฎอนของทุกปี ทำให้เดือนแห่งศรัทธานี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสามัคคี การสำนึกคุณ และการขัดเกลาจิตใจ อย่างไรก็ตามการถือศีลอดอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสรีรวิทยาของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง บทความนี้จึงต้องการกล่าวถึงผลของการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนต่อการควบคุมความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยพิจารณาจากผลการศึกษาวิจัยและแนวทางปฏิบัติทางคลินิกเพื่อให้สามารถถือศีลอดได้อย่างปลอดภัย
ความเข้าใจเกี่ยวกับการถือศีลอดในช่วงรอมฎอน
การถือศีลอดในช่วงรอมฎอนใช้ระยะเวลาประมาณ 29 – 30 วัน โดยมีมื้ออาหารหลัก 2 มื้อ ได้แก่ มื้อก่อนรุ่งอรุณ และมื้ออาหารหลังพระอาทิตย์ตก ระยะเวลาการถือศีลอดจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และฤดูกาล ซึ่งในบางพื้นที่อาจกินเวลาถึง 20 ชั่วโมง ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่ามีการรับประทานยา การดื่มน้ำ และการบริโภคอาหารที่เหมาะสม
ผลกระทบของการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนต่อความดันโลหิต
มีการศึกษาหลายฉบับที่พยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนกับการควบคุมความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการศึกษายังคงไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีความแตกต่างในด้านการออกแบบการศึกษา ประชากรที่ศึกษา ปัจจัยแวดล้อม และระยะเวลาของการถือศีลอด มีการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้
- การศึกษาภาคตัดขวางในอิรัก1 ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 120 ราย โดยศึกษาผลของการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนต่อความดันโลหิต กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยอายุ 25-50 ปี ที่ได้รับยา atenolol 50 มก./วัน วัดค่าความดันโลหิตก่อนรอมฎอนหนึ่งสัปดาห์และหลังรอมฎอนหนึ่งสัปดาห์ พบว่าความดันโลหิตซิสโตลิกดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (7.5±7.2 มม.ปรอท, 95% CI 5.3,9.7) เช่นเดียวกับความดันโลหิตไดแอสโตลิก (7.4±6.5 มม.ปรอท, 95% CI 5.4,9.4) นอกจากนี้ยังพบการลดลงของน้ำหนักตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน (3.5±4.9 กก., 95% CI 2.0,4.9) อย่างไรก็ตามการศึกษานี้มีข้อจำกัดคือมีขนาดตัวอย่างน้อย
- การศึกษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในตูนิเซีย2 ได้คัดเลือกผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 60 คน และวัดค่าความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง (ambulatory blood pressure monitoring, ABPM) ก่อนและในช่วง 10 วันสุดท้ายของรอมฎอน ผลการศึกษาพบว่าความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิก 24 ชม. ไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (129±17/74±10 มม.ปรอท ก่อนรอมฎอน และ 128±17/73±9 มม.ปรอท ในช่วง 10 วันสุดท้ายของรอมฎอน (P >0.05) โดยผลลัพธ์ที่แตกต่างจากงานวิจัยในชาวอิรัก1 อาจขึ้นอยู่กับแนวทางการใช้ยาและองค์ประกอบของมื้ออาหารในชาวตูนิเซีย โดยงานวิจัยนี้พบว่าผู้เข้าร่วมร้อยละ 74 ปรับเปลี่ยนการรับประทานยาความดันโลหิตเป็นวันละครั้ง ซึ่งอาจมีผลต่อผลลัพธ์ของการศึกษาได้
- การศึกษา London Ramadan Study (LORANS) และการวิเคราะห์เมตา3 การศึกษา LORANS มีผู้เข้าร่วม 85 คน ที่ถือศีลอดเป็นเวลาเฉลี่ย 15.5 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 29 วัน ผลการศึกษาพบว่าการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนสัมพันธ์กับการลดลงของความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (7.29 มม.ปรอท (95% CI −4.74, −9.84) และ 3.42 มม.ปรอท (95% CI −1.73, −5.09)) ตามลำดับ นอกจากนั้นหลังทำการวิเคราะห์เมตาโดยรวมงานศึกษาวิจัยอื่น ๆ เข้ามาด้วย พบว่าผลไปในแนวทางเดียวกัน โดยความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง 3.19 มม.ปรอท (95% CI, −4.43, −1.96) และความดันโลหิตไดแอสโตลิกลดลง 2.26 มม.ปรอท (95% CI, −3.19, −1.34) โดยหากวิเคราะห์เฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยความดันโลหิตสูงพบว่าความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง 8.44 มม.ปรอท (95% CI −15.16, −1.72) และความดันโลหิตไดแอสโตลิกลดลง 4.52 มม.ปรอท (95% CI −7.75, −1.28)
คำแนะนำทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในช่วงรอมฎอน
เพื่อให้สามารถถือศีลอดได้อย่างปลอดภัย ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเริ่มรอมฎอน โดยคำแนะนำจาก British Islamic Medical Association (BIMA) Ramadan Rapid Review 2020 มีดังนี้
- การประเมินก่อนรอมฎอน: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบความสามารถในการถือศีลอดอย่างปลอดภัย
- การปรับตัวยา: หากจำเป็นอาจเปลี่ยนการรับประทานยาความดันโลหิตเป็นวันละครั้ง
- การดื่มน้ำและโภชนาการ: ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และเลือกอาหารที่สมดุล หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด
- การติดตามอาการ: ตรวจสอบค่าความดันโลหิตเป็นระยะระหว่างรอมฎอน
- ข้อยกเว้น: ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ควรพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การบริจาคอาหารให้ผู้ยากไร้แทนการถือศีลอด
บทสรุป
ผลของการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนต่อความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หลักฐานบางส่วนชี้ให้เห็นว่าการถือศีลอดที่มีการควบคุมอาจมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์และปรับการรับประทานยาให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถถือศีลอดได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี
- Farag HAM, Baqi HR, Qadir SA, et al. Effects of Ramadan fasting on anthropometric measures, blood pressure, and lipid profile among hypertensive patients in the Kurdistan region of Iraq. SAGE Open Med. 2020; 8: 2050312120965780. doi: 10.1177/2050312120965780.
- Zairi I, Bejar MA, Ben Mrad I, et al. Effects of Ramadan fasting on blood pressure in hypertensive patients. Tunis Med. 2021;99:727-733.
- Al-Jafar R, Zografou Themeli M, Zaman S, et al. Effect of religious fasting in Ramadan on blood pressure: Results from LORANS (London Ramadan Study) and a meta-analysis. J Am Heart Assoc. 2021;10:e021560. doi: 10.1161/JAHA.120.021560.