รศ. พญ. นันตรา สุวันทารัตน์
วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ ม.ธรรมศาสตร์
และ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
บทนำ
โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonosis) ที่เกิดจาก Bacillus anthracis ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกที่สร้างสปอร์ได้ โรคนี้แม้ว่าพบได้น้อยในเวชปฏิบัติ แต่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและถึงแก่ชีวิตได้ โดยในประเทศไทย หลังจากมีการพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคแอนแทรกซ์ที่จังหวัดมุกดาหาร ทำให้มีผู้ป่วยสะสมรวม 4 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โดยมีอาการรุนแรงพบอาการทางผิวหนัง ทางเดินอาหาร และตรวจพบเชื้อในเลือด และมี
ผู้ที่เสี่ยงในการสัมผัสโรคต้องเฝ้าระวังอาการทางผิวหนังและทางเดินอาหาร รวมทั้งหมดกว่า 636 คน (อ้างอิงจากข้อมูลสถานการณ์ผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ จังหวัดมุกดาหาร 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) ทำให้โรคนี้ได้รับความสนใจมากขึ้น อีกทั้งโรคนี้มีความสำคัญในด้านสาธารณสุขและความมั่นคง เนื่องจากสามารถใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ เนื่องจากอาการของโรคมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะในรูปแบบการติดเชื้อทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นแพทย์จึงควรวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้ได้อย่างทันท่วงที
สาเหตุและพยาธิกำเนิด
Bacillus anthracis เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก รูปแท่ง ไม่เคลื่อนไหว ที่สร้างสปอร์ (endospore-forming Gram-positive rods/ bacilli) และสามารถคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานาน การติดเชื้อในมนุษย์มักเกิดจากการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อหรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (เช่น หนังสัตว์ ขนสัตว์ กระดูกบด) ที่ปนเปื้อนสปอร์ของแอนแทรกซ์ โดยมีช่องทางการติดเชื้อ ดังนี้
- ทางผิวหนัง: สปอร์เข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือรอยถลอก เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดในธรรมชาติ
- ทางการหายใจ: การสูดดมสปอร์ที่ฟุ้งในอากาศ มักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสในอุตสาหกรรม เช่น โรคของคนคัดขนสัตว์ และเคยมีการติดเชื้อทางการหายใจจากการสูดดมสปอร์ในจดหมาย ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่จัดเป็นกลุ่มสารที่ใช้ในการก่อการร้ายทางชีวภาพ (bioterrorist agent tier 1)
- ทางเดินอาหาร: การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกจากสัตว์ติดเชื้อ
- ทางการฉีดยา: เส้นทางใหม่ที่พบในผู้ใช้ยาฉีดเข้าเส้น เกิดการติดเชื้อในเนื้อเยื่อลึก
หลังจากสปอร์เข้าสู่ร่างกายผู้ติดเชื้อ สปอร์จะถูกเม็ดเลือดขาว (กลุ่ม macrophage) ยับยั้งการเจริญเติบโต แต่หากไม่สำเร็จแบคทีเรียจะเจริญเติบโตและสร้างสารพิษ ได้แก่ protective antigen (PA), lethal factor (LF) และ edema factor (EF) ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดอาการทางคลินิกของโรคนี้
ระบาดวิทยา
โรคแอนแทรกซ์พบได้ในสัตว์กินพืช โดยเฉพาะวัว กระบือ แกะ โดยในมนุษย์นั้นสามารถติดเชื้อได้จากการสัมผัสสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ติดเชื้อ ซึ่งในประเทศพัฒนาแล้วพบได้น้อยมาก เนื่องจากมีมาตรการควบคุมโรคในสัตว์และวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามยังพบโรคในบางพื้นที่ของแอฟริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง โดยพบผู้ป่วยในประเทศไทย ที่จังหวัดมุกดาหารในครั้งนี้ (พ.ศ. 2568) สันนิษฐานว่าผู้ป่วยสัมผัสโรคมาจากวัวที่มีการติดเชื้อ โดยยังอยู่ในกระบวนการสืบสวนว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่มานานเท่าไหร่ โดยในช่วงที่ผ่านมา มีข้อมูลพบโรคแอนแทรกซ์ในวัวและผู้ป่วยในประเทศลาว และมีการรายงานการติดเชื้อในวัว ในประเทศพม่า และประเทศเวียดนามอีกด้วย
ในอดีตโรคแอนแทรกซ์ ในรูปแบบการติดเชื้อทางเดินหายใจนั้นได้รับความสนใจและเฝ้าระวังอย่างมาก เนื่องจากถูกใช้ในเหตุการณ์ก่อการร้ายทางชีวภาพ เช่น เหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2544 เป็นต้น โดยผู้ป่วยสูดดมเชื้อก่อโรคเข้าสู่ทางเดินหายใจ ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างรุนแรง และมีภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้มาก
ลักษณะทางคลินิก การติดเชื้อแอนแทรกซ์มี 4 รูปแบบหลัก ได้แก่
- แอนแทรกซ์ทางผิวหนัง (Cutaneous Anthrax) เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด (มากกว่าร้อยละ 95) เริ่มจากตุ่มนูน ไม่เจ็บ กลายเป็นตุ่มน้ำแล้วแตกออกเป็นแผลมีสะเก็ดดำตรงกลาง (black eschar) ผู้ป่วยอาจมีไข้และต่อมน้ำเหลืองโต หากไม่ได้รับการรักษา อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ซึ่งหากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตั้งแต่แรก จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงน้อยกว่าร้อยละ 1
- แอนแทรกซ์ทางเดินหายใจ (Inhalational Anthrax) เกิดจากการหายใจเอาสปอร์เข้าไป โดยมีสองระยะคือ ระยะเริ่มต้นซึ่งคล้ายไข้หวัด และระยะรุนแรงซึ่งมีภาวะหายใจลำบาก ช็อก และผู้ป่วยภาพถ่ายทางรังสีทรวงอกมักพบลักษณะ mediastinal widening เนื่องจากทางเดินหายใจและเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องมีภาวะเลือดออก และต่อมน้ำเหลืองโต อาจพบน้ำในปอด (pleural effusion) ร่วมด้วย อัตราการเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาสูงกว่าร้อยละ 85
- แอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Anthrax) เกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้ มีอาการแสดงได้ทั้งในช่องปากและทางเดินอาหาร เช่น เจ็บคอ กลืนลำบาก ไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียปนเลือด อัตราการเสียชีวิตอยู่ระหว่าง ร้อยละ 25–60
- แอนแทรกซ์จากการฉีดยา (Injectional Anthrax) พบในผู้ใช้เฮโรอีน มีลักษณะการติดเชื้อบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังแบบรุนแรง มักมีอาการบวมน้ำ เนื้อตาย และอาการรุนแรง โดยไม่พบแผลลักษณะ eschar ที่ชัดเจน แต่การลุกลามของการติดเชื้ออาจลึกและรวดเร็ว และมักนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและอวัยวะล้มเหลว
การวินิจฉัย
ความสงสัยโรคในระดับสูงเป็นปัจจัยสำคัญในการวินิจฉัยที่รวดเร็ว แนวทางการวินิจฉัย ได้แก่:
- ประวัติการสัมผัสโรค ความเสี่ยงในการติดเชื้อ และลักษณะของแผล
รูปที่ 1 ตัวอย่างของแผลที่ผิวหนังในโรคแอนแทรกซ์ที่เกิดจากการสัมผัสเชื้อโดยตรง
โดย A เป็นผู้ป่วยที่จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย (พ.ศ. 2568), B และ C เป็นผู้ป่วยอื่น ๆ
. - Gram stain และการเพาะเชื้อ: ตัวอย่างจากแผลผิวหนัง เลือด น้ำเยื่อหุ้มปอด หรือ CSF ควรตรวจ Gram stain (รูปที่ 2) ซึ่งเป็นการตรวจที่รวดเร็วและสามารถเห็นลักษณะเฉพาะของเชื้อนี้ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Gram positive rods ที่สามารถแยกจากเชื้ออื่น ๆ ได้ชัดเจน (รูปที่ 3) และโคโลนีของเชื้อ B. anthracis นี้มีลักษณะจำเพาะบนจานเพาะเลี้ยงเชื้อ (sheep blood agar) ที่จะเป็น non-hemolysis colonies ซึ่งจะแตกต่างจากเชื้อ Bacillus อื่น ๆ เช่น Bacillus cereus ที่จะเป็น beta-hemolysis colonies (รูปที่ 4) โดย B. cereus อาจพบเป็นเชื้อที่ก่อโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารหรือเป็นการติดเชื้อในเลือด (catheter-associated infection) เป็นต้น
รูปที่ 2 ตัวอย่างการย้อมสีแกรม (Gram stain) จาก positive blood culture
โดยรูป A เป็นผู้ป่วยที่จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย (พ.ศ. 2568), B เป็นผู้ป่วยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
.
รูปที่ 3 แผนผังการจำแนกแบคทีเรียกลุ่มติดสีแกรมบวกรูปแท่ง (Gram positive rods/bacilli)
(จาก Johns Hopkins Microbiology Laboratory Guideline)
..
รูปที่ 4 ตัวอย่างโคโลนีของเชื้อ Bacillus spp. ต่าง ๆ บนจานเพาะเชื้อ (sheep blood agar)
โดยรูป A เป็น B. anthracis (non-hemolysis colonies), B เป็น B. cereus (beta-hemolysis colonies)
.. - Polymerase Chain Reaction (PCR): ใช้ตรวจ DNA จำเพาะของเชื้อ B. anthracis จากตัวอย่างผู้ป่วย ช่วยให้วินิจฉัยได้รวดเร็ว
- ELISA: ตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อในซีรั่ม แต่อาจไม่เป็นประโยชน์ในระยะเฉียบพลัน
- ภาพถ่ายรังสีและ CT: Chest Xray หรือ CT-chest ใช้ในผู้สงสัยแอนแทรกซ์ทางการหายใจ เพื่อค้นหา mediastinal widening และ pleural effusion สำหรับแอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร อาจพิจารณา CT ช่องท้อง
รูปที่ 5 ตัวอย่าง ภาพถ่ายทางรังสีปอด (Chest Xray) ของผู้ป่วยที่มี mediastinal widening
. - การเจาะหลัง: ในรายที่มีอาการทางระบบประสาท เพื่อประเมินภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแอนแทรกซ์ (Anthrax meningitis) แต่ควรระวังในผู้ป่วยที่มีความดันในสมองสูง
การรักษา
- แอนแทรกซ์ทางผิวหนัง
- doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง หรือ ciprofloxacin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7–10 วัน (หากสงสัยเป็นการก่อการร้ายทางชีวภาพให้รักษานาน 60 วัน)
- แอนแทรกซ์ที่มีอาการระบบ (เช่นทางเดินหายใจ, ทางเดินอาหาร, การฉีดยา):
- ให้ยาทางหลอดเลือดดำร่วมกัน ได้แก่ ciprofloxacin หรือ meropenem ร่วมกับ clindamycin หรือ linezolid และพิจารณาให้แอนติท็อกซิน (เช่น raxibacumab หรือ obiltoxaximab) ในรายที่รุนแรง
- ให้ ciprofloxacin หรือ doxycycline รับประทาน 60 วัน ร่วมกับวัคซีนป้องกันแอนแทรกซ์ 3 เข็ม ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสปอร์ทางอากาศ
- วัคซีน: แนะนำให้กับกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ทหาร หรือผู้ทำงานในห้องปฏิบัติการ
- การควบคุมในสัตว์: การฉีดวัคซีนให้ปศุสัตว์เป็นประจำในพื้นที่ที่มีโรคประจำถิ่น
- การเตรียมพร้อมด้านความมั่นคง: การเฝ้าระวัง การแยกผู้ป่วย โดยควรดูแลแบบ standard precaution และในกรณีที่มีบาดแผลควรเพิ่ม contact isolation (รวมถึง inhalational anthrax ไม่ต้องทำ airborne isolation) การให้ยาในกลุ่มเสี่ยง และการประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุข
สรุป
แม้การติดเชื้อแอนแทรกซ์จะพบได้น้อย แต่สามารถก่อให้เกิดภาวะเจ็บป่วยและเสียชีวิตอย่างรุนแรง แพทย์เวชปฏิบัติควรมีความรู้ในการวินิจฉัยเบื้องต้นโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการทางผิวหนัง หรือระบบทางเดินหายใจ
ร่วมกับประวัติสัมผัสที่เสี่ยง ดังเช่นตัวอย่างกรณีผู้ป่วยที่จังหวัดมุกดาหาร นพ. นนชยา ใจตรง แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลดอนตาลนั้นสามารถวินิจฉัยโรคแอนแทรกซ์ได้อย่างรวดเร็ว จากประวัติ และแผลที่มือร่วมกับการย้อมสีแกรม ทำให้สามารถประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขในการควมคุมโรค และ
ดูแลผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี
- Biosafety in Microbiological and Biomedical Laboratories (BMBL) 6th Edition (CDC, 2020)
- ASM select agent guideline 2013
- Johns Hopkins Microbiology Laboratory guideline
- FB สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร