พญ. พรรณทิพย์ ตันติวงษ์
อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิซึม
โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน พ.ศ. 2541 : https://thaide.org/
วารสารแสงเทียน The Diabetes Educator Newsletter
https://thaide.org/wp-content/uploads/2023/09/Diabetes_Vol25-No31.pdf
ภาวะก่อนเบาหวาน หรือ Prediabetes เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่สูงถึงเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน ผู้มีภาวะ Prediabetes ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นอกจากนี้ ยังพบว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองด้วย เนื่องจากผู้มีภาวะ Prediabetes มักมีความผิดปกติทางเมตาบอลิกอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง น้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน รวมเป็นกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก (Metabolic syndrome) อย่างไรก็ตาม หากผู้มีภาวะ Prediabetes ทราบการวินิจฉัยโรค ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม จะสามารถชะลอการเกิดโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดดังกล่าวได้
การวินิจฉัยภาวะ Prediabetes
ภาวะ Prediabetes ใช้เกณฑ์วินิจฉัยตามความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร (Fasting plasma glucose: FPG) ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร 2 ชั่วโมง (2 hour post-load plasma glucose) และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (Hemoglobin A1c) โดยเกณฑ์การวินิจฉัย ภาวะ Prediabetes มีระบุไว้ในหลาย guidelines ดังแสดงในตารางที่ 1
ตาม American Diabetes Association (ADA)¹ ปี ค.ศ.2023 ผู้ที่มีความผิดปกติของระดับน้ำตาลก่อนอาหาร คือ 100 – 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เรียกว่า Impaired fasting glucose (IFG) และหากมีความผิดปกติของระดับน้ำตาลหลังอาหารสูง คือ 140 – 199 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรที่ 2 ชั่วโมงภายหลังจากการทำ 75 gram oral glucose tolerance (75 g OGTT) เรียกว่า Impaired glucose tolerance (IGT) และกลุ่ม Prediabetes ที่วินิจฉัยจากความผิดปกติของระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม 5.7 – 6.4% โดยปัจจุบัน แนะนำการตรวจคัดกรองระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อค้นหาความผิดปกติ ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน (Body mass index ≥ 23 กิโลกรัม/เมตร2) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ข้อ ได้แก่ มีญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ (Triglyceride > 250 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร HDL-cholesterol < 35 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) มีภาวะ poly cystic syndrome ไม่ค่อยออกกำลังกาย เป็นต้น และแนะนำการตรวจด้วย 75 g OGTT ในผู้ที่ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร ≥110 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรผู้ที่มี Prediabetes ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่มีอาการใด ๆ การตรวจคัดกรองระดับน้ำตาลในเลือดตามคำแนะนำ จึงมีความสำคัญในการค้นหาและวินิจฉัยโรค
ตารางที่ 1 เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะ Prediabetes
ความชุกและความสำคัญของภาวะก่อนเบาหวาน
รายงานจาก IDF Diabetes Atlas พบผู้ใหญ่ที่มีภาวะ IGT พบประมาณ 541 ล้านคน (10.6%) ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2021 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 730 ล้านคน (11.4%) ในปี ค.ศ. 2045 โดยความชุกของ IGT, udki เพิ่มขึ้น ตามอายุ ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะ IFG พบประมาณ 319 ล้านคน (6.2%) และจะเพิ่มขึ้นเป็น 441 ล้านคน (6.9%) ในปี ค.ศ. 2045 โดยพบความชุกของ IFG สูงที่สุดในช่วงอายุ 50 – 70 ปี ส่วนในประเทศไทย มีรายงานจากการตรวจสุขภาพประชาชนไทยที่มีอายุ >15 ปี โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562 – 2563 พบความชุกของภาวะ IFG เป็น 10.7% พบความชุกในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ภูมิภาคที่พบความชุกของ IFG มากที่สุด คือภาคกลาง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
ผู้มีภาวะ Prediabetes มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น จาก meta-analysis5 พบว่า เมื่อติดตามเป็นระยะเวลา 12 ปี พบผู้ที่มีภาวะ IFG เกิดเป็นเบาหวานได้ 31% (ความเสี่ยง 4.32 เท่า) ผู้ที่มีภาวะ IGT เกิดเป็นเบาหวานได้ 41% (ความเสี่ยง 3.61 เท่า) ผู้ที่มีระดับ HbA1c 5.7 – 6.4% เกิดเป็นเบาหวานได้ 31% (ความเสี่ยง 5.5 เท่า) หากมีภาวะ IFG ร่วมกับ IGT พบมีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานถึง 6.9 เท่า นอกจากนี้ ในผู้มีภาวะ Prediabetes (IFG หรือ IGT) พบมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มเติม รวมถึงอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นด้วย
การดูแลรักษาภาวะก่อนเบาหวาน
การดูแลภาวะ Prediabetes ประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด (intensive lifestyle modification, LSM) การใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงทางหลอดเลือด ได้แก่ การลดน้ำหนัก การควบคุมระดับความดันโลหิตและควบคุมระดับไขมันในเลือด
โดยการศึกษา Diabetes Prevention Program (DPP)⁶ แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ intensive LSM ในการลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวานถึง 58% เมื่อติดตามเป็นระยะเวลา 3 ปี มากกว่าการใช้ยา metformin ซึ่งลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวานได้ 31% นอกจากนี้ เมื่อติดตามต่อเนื่องที่ 10 ปี intensive LSM ยังคงส่งผลต่อเนื่องในการลดการเกิดเบาหวานได้ 34% และที่ 15 ปี ลดโอกาสการเกิดเบาหวานได้ 27% เช่นเดียวกับ Finnish study7 ที่แสดงถึงผลของ LSM ในการลดโอกาสเกิดเบาหวาน 43% เมื่อติดตามที่ 7 ปี และการศึกษา Da Qing⁸ แสดงผลของ LSM ในการลดโอกาสเกิดเบาหวาน 39% เมื่อติดตามไป 30 ปี นั่นคือ intensive LSM ช่วยลดการเกิดเบาหวานได้ในระยะยาว
การทำ Intensive LSM⁹ กำหนดเป้าหมายให้ผู้มี Prediabetes มีน้ำหนักตัวลดลง 7% ภายใน 6 เดือนจากน้ำหนักเริ่มต้น โดยการควบคุมปริมาณพลังงานจากอาหารให้ลดลงประมาณ 500 – 1,000 แคลอรี่ต่อวัน และควบคุมปริมาณไขมัน ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกสูตรอาหารที่มีข้อมูลช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน เช่น Low carbohydrate diet, Plant-based diet, DASH diet, Mediterranean diet, การเพิ่มอาหารจำพวกกากใยและหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เป็นต้น ร่วมกับให้ออกกำลังกายชนิด moderate intensity ร่วมด้วย ทั้งแบบ aerobic training และ resistance training อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง 0.5 – 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ โดยควรมีทีมผู้ดูแล (Lifestyle coaches) คอยกำกับติดตามและคอยสนับสนุนให้ผู้มี Prediabetes สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการติดตามน้ำหนักตัวเองที่บ้านทุกวัน
นอกจากนี้ เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ คือการที่ผู้มี Prediabetes ได้ร่วมกิจกรรมป้องกันเบาหวานในชุมชน หรือใน primary care setting รวมถึง การนำเทคโนโลยี เช่น smartphone, web-based application ตลอดจน telehealth มาร่วมในการดูแลได้ ซึ่งมีตัวอย่างจาก Thai Diabetes Prevention Program10 ที่ทำการศึกษาใน IGT ใน primary care setting 68 แห่ง ใน 8 จังหวัด ซึ่งพบว่าผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มเป็นครั้งคราว (intervention group) มีโอกาสเกิดเบาหวานน้อยกว่าผู้ที่เข้าอบรมเบาหวานเพียง 1 ครั้ง (control group) โดยอัตราการเกิดเบาหวานรายใหม่เป็น 12.1% และ 16.6% ตามลำดับ
สำหรับการรักษาภาวะ Prediabetes โดยการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาโดยใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด และยาลดน้ำหนักตัว ซึ่งพบมียาหลายชนิดที่รายงานพบมีประโยชน์ในการชะลอการเกิดเบาหวาน โดยยาชนิดที่ปลอดภัยและมีข้อมูลนานกว่าชนิดอื่นในการป้องกันเบาหวาน คือ “metformin” (ตามข้อมูลการศึกษา DPP) อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน USFDA ยังไม่ได้รับรองการใช้ยาใด ๆ ในบทบาทเพื่อการป้องกันเบาหวานในผู้ที่มี Prediabetes
โดย ADA recommendation ปี พ.ศ. 2023 แนะนำให้ใช้ยา metformin เพื่อป้องกันเบาหวานในรายที่มีภาวะ Prediabetes ที่อายุ < 60 ปี มีภาวะอ้วนที่ BMI ≥ 35 กิโลกรัม/เมตร² มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง (FPG) ≥ 110 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ HbA1c สูง ≥ 6.0 % รวมถึง ผู้ที่มีประวัติเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากยา metformin ตามผลการศึกษา DPP
ในขณะที่ American Association of Clinical Endocrinology (AACE) recommendation ปี พ.ศ.2023 แนะนำให้พิจารณาการใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อควบคู่กับการทำ Intensive LSM ในผู้มีภาวะ Prediabetes ที่มีน้ำหนักตัวเกิน โดยหากต้องการลดน้ำหนัก > 7-10 % ให้พิจารณายากลุ่ม GLP1-Receptor agonist, phentermine และ topiramate ER และหากต้องการรักษา Prediabetes โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือดให้พิจารณายากลุ่ม metformin, pioglitazone หรือ acarbose และ ทำการติดตามเฝ้าระวังการเกิดเบาหวานต่อไป
บทสรุป
ภาวะ Prediabetes เป็นภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน และเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองได้ การวินิจฉัยและให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง การเลือกชนิดและควบคุมปริมาณอาหารคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำการติดตามระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อมีข้อบ่งชี้ จะเป็นแนวทางในการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานได้
- ElSayed NA, Aleppo G, Aroda VR, et al. Classification and diagnosis of diabetes. Diabetes Care. 2023; 46 (Suppl.1): S19-S40.
- Samson SL, Vellanki P, Blonde L, et al. American Association of Clinical Endocrinology consensus statement: Comprehensive type 2 diabetes management algorithm- 2023. Endocrine Practice. 2023; 29: 305-340.
- Definition and diagnosis of diabetes mellitus and intermediate hyperglycemia. World Health Organization. 2006
- The International Expert Committee report on the role of the A1C assay in the diagnosis of diabetes. Diabetes Care. 2009; 32: 1327-1334.
- Richter B, Hemmingsen B, Metzendorf M, et al. Development of type 2 diabetes mellitus in people with intermediate hyperglycemia. Cochrane Database Syst Rev. 2018; 10: CD012661.
- Knowler w, Berrett-Connor E, Fowler S, et al. Reduction in the incidence of type 2 diabetes with lifestyle intervention or metformin. N Engl J Med.2003; 346: 393-403.
- Lindstrom J, Peltonen M, Eriksson J, et al. Improved lifestyle and decreased diabetes risk over 13 years: long-term follow-up of the randomized Finnish Diabetes Prevention Study (DPS). Diabetologia. 2013; 56: 284-293.
- Gong Q, Zhang P, Wang J, et al. Morbidity and mortality after lifestyle intervention for people with impaired glucose tolerance: 30-year results of the Da Qing Diabetes Prevention Outcome Study. Lancet Diabetes Endocrinol. 2019; 7(6):452-461.
- ElSayed NA, Aleppo G, Aroda VR, et al. Prevention or delay of type 2 diabetes and associated comorbidities. Diabetes Care. 2023; 46(Suppl 1): S41-48
- Aekplakorn W, Tantiyotai V, Numsangkul S, et al. Evaluation of community-based diabetes prevention program in Thailand: A cluster randomized controlled trial. J Prim Care Community Health. 2019; 10:1-8