รศ. พญ. พิมพ์ใจ อันทานนท์
หน่วยต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน พ.ศ. 2541 : https://thaide.org/
วารสารแสงเทียน The Diabetes Educator Newsletter
https://thaide.org/wp-content/uploads/2023/06/Diabetes_Vol25-No2.pdf
บทนำ
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM) พบว่ามีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติได้บ่อย ในลักษณะที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด (hypertriglyceridemia) มี small dense-low-density lipoprotein (sd-LDL) เพิ่มขึ้น แม้ว่าระดับ LDL cholesterol (LDL-c) จะปกติ ร่วมกับระดับ high-density lipoprotein cholesterol (HDL-c) ต่ำภาวะไขมันในเลือดผิดปกตินี้อาจเรียกว่าเป็น atherogenic dyslipidemia หรือ diabetic dyslipidemiaซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease, CVD) และโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) และนำมาสู่ภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตในผู้ที่เป็นเบาหวาน ดังนั้น การรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติผู้ที่เป็นเบาหวานจึงมีความสำคัญ
พยาธิสรีรวิทยา
ในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของไขมันและ lipoprotein metabolism (ตารางที่ 1) ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีระดับ triglyceride ในเลือดสูง มี sd-LDL เพิ่มขึ้น และระดับ HDL-c ต่ำ ภาวะไขมันในเลือดผิดปกตินี้ อาจเรียกว่าเป็น atherogenic dyslipidemia หรือ diabetic dyslipidemia1 นอกจากนี้ยังพบว่ามี remnant lipoproteins ทั้งจากตับและลำไส้สูงขึ้น ได้แก่ very low-density lipoprotein (VLDL) remnants และ chylomicron remnants ส่วนระดับ LDL-c อาจจะปกติ จากการศึกษาพบว่าระดับ LDL-c ของผู้เป็นเบาหวานไม่แตกต่างจากผู้ที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน อย่างไรก็ตามระดับ LDL-c ยังคงเป็นตัวพยากรณ์การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ดีในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 22
โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ที่เป็นเบาหวาน
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุของภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตที่พบบ่อยของผู้ที่เป็นเบาหวาน พบว่าผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 2 ถึง 4 เท่า (ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดส่วนปลาย โรคหลอดเลือดสมอง)3 รวมถึงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เร็วกว่าผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน มีโรคที่รุนแรงกว่าและเกิดหลอดเลือดตีบในหลายตำแหน่งมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน นอกจากนี้อัตราการตายของผู้ที่เป็นเบาหวานประมาณ 2 ใน 3 เกิดจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยร้อยละ 40 เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ร้อยละ 15 เป็นโรคหัวใจอื่น ๆ (ส่วนใหญ่จากภาวะหัวใจล้มเหลว) และร้อยละ 10 เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
กลไกของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งในเบาหวานเป็นดังนี้ เริ่มต้นผู้ป่วยมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะได้รับวินิจฉัยเบาหวานแฝง (prediabetes) ในขณะที่ภาวะน้ำตาลสูงในเลือดจะเกิดเมื่อเป็นเบาหวานแฝง และเป็นมากขึ้นเมื่อให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน ภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมกับการทำงานของ insulin signaling ผิดปกติ ภาวะอินซูลินสูงในเลือด และภาวะน้ำตาลสูงในเลือดส่งผลให้เกิดภาวะดังนี้ คือ กรดไขมันอิสระสูง เกิดการสร้าง advanced glycation end-product (AGE) การกระตุ้น protein kinase C (PKC) เกิดoxidative stress การทำงานของไมโทคอนเดรียผิดปกติ และการเปลี่ยนแปลงระดับ epigenetic ซึ่งทั้งหมดนี้จะก่อให้เกิด endothelial dysfunction และการอักเสบตามมาซึ่งภาวะดังกล่าวจะก่อให้เกิดการกระตุ้นที่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือด (vascular smooth muscle cell) เซลล์เยื่อบุหลอดเลือด (endothelial cell) และ monocyte ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมี oxidized LDL-c สูงกว่าปกติ และอนุภาคนี้จะอยู่ใต้ต่อเยื่อบุหลอดเลือด(subendothelium) ดังนั้นเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดจะซึมผ่านเข้าผนังหลอดเลือดและเข้าสู่ intimal media ที่มีเซลล์กล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือดอยู่ เซลล์เม็ดเลือดขาว monocyte จะจับกินอนุภาค LDL-c เข้าไปสู่ในเซลล์ กลายเป็น lipidladen foam cell ซึ่งเป็น macrophage ที่สามารถสร้างเอ็นไซม์ proteinase และสารตัวกลางการอักเสบ (inflammatory mediators) ได้แก่ tumor necrosis factor-α (TNF-α) และ interleukins ทำให้เกิดการตอบสนองต่อการอักเสบโดยสร้าง inflammasome complex และ endoplasmic reticulum stress ส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนของ macrophage และเมื่อหลอดเลือดมีการบาดเจ็บ เซลล์กล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือดปล่อยคอลลาเจนเพื่อสร้างเป็น fibrous cap ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดความเสถียรของ atherosclerotic plaque แต่เมื่อพยาธิสภาพเป็นมากขึ้นส่งผลให้เกิดการตีบตันในหลอดเลือดแดง นอกจากนี้เมื่อพยาธิสภาพของหลอดเลือดแดงแข็งไปนาน ๆ มีผลให้ plaque อาจจะไม่เสถียรและถูกทำลายได้ง่าย มี fibrous cap บางลงและมีกระบวนการตายของเซลล์ macrophage ทำให้สูญเสียหน้าที่ phagocytic clearance ของ lipid laden macrophage ทำให้ plaque มี necroticcore ซึ่งจะไปเร่งการอักเสบของหลอดเลือดและเกิดภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือด (thrombosis) เนื่องจาก plaque ที่ไม่เสถียรมีแนวโน้มขยายออกจากการสร้างลิ่มเลือด และภาวะเลือดออกใน atherosclerotic plaque และท้ายสุดมีการแตกของ fibrous cap ตามมาทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด4 การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ที่เป็นเบาหวานต้องให้การรักษาปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ภาวะไขมันผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำตาลสูงในเลือด ภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เป็นต้น
แนวทางการรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในผู้ที่เป็นเบาหวาน
ปัจจุบันแนวทางการรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในผู้ที่เป็นเบาหวานของ European society of cardiology (ESC) และ American diabetes association (ADA) แนะนำว่าให้ควบคุมระดับ LDL-c เป็นเป้าหมายแรก เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยที่ตั้งเป้าหมายตามความเสี่ยง ตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ระดับไขมันเป้าหมายในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 5,6,7* ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิด 1 ที่อายุมากกว่า 40 ปีอาจจะจัดความเสี่ยงตามเกณฑ์เดียวกันนี้
** Glomerular filtration rate (GFR) < 45 ml/min/1.73 m2, GFR 45-59 ml/min/1.73 m2 ร่วมกับ albumin creatinine ratio (ACR) 30-300 mg/g, ACR > 300 mg/g, หรือ มี microvascular disease อย่างน้อย 3 ตำแหน่ง (เช่น microalbuminuria + retinopathy +neuropathy)
& ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ อายุ ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ สูบบุหรี่ อ้วน8
LDL-c, low-density lipoprotein cholesterol; TOD, target organ damage
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การควบคุมอาหาร7,9 ได้แก่ หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ลดปริมาณไขมันอิ่มตัว (เช่น ไขมันสัตว์ นมครบส่วน (whole milk) น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม) ให้รับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี สัตว์ปีก ปลา เนื้อสัตว์ไร้มัน ถั่ว น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัว หรือรับประทานอาหารรูปแบบ Mediterranean ที่มีปริมาณ monounsaturated fat และ polyunsaturated fat สูง
การออกกำลังกาย7 แนะนำให้ออกกำลังกายที่มีระดับที่เข้มข้นปานกลางอย่างน้อย 30 นาที/วัน ทุกวัน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่น ๆ7, 10 เช่น ถ้ามีภาวะน้ำหนักเกิน ให้ลดน้ำหนักอย่างน้อย ร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตั้งต้น ถ้าสูบบุหรี่ให้เลิกบุหรี่ ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์
ยาลดระดับไขมัน
- Statins เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในแนวทางการรักษาว่าเป็นยาตัวแรกที่ใช้ในการลดระดับ LDL-c เพื่อป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้เป็นเบาหวาน เนื่องจากระดับ LDL-c ที่สูงขึ้นในเลือดมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างชัดเจน และ statins มีประสิทธิภาพในการลดระดับ LDL-c ได้ดี ในผู้ที่เป็นเบาหวานร่วมกับเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมีความเสี่ยงสูง ดังตารางที่ 1 พิจารณาให้ high-intensity statin เพื่อลดระดับ LDL-c จากค่าตั้งต้น ≥ 50%5, 7 แต่ถ้าความเสี่ยงปานกลางหรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงหรืออายุน้อยกว่า 40 ปี พิจารณาให้ moderate-intensity statin ได้5,11
- ยาอื่นที่ใช้ร่วมเพื่อลดระดับ LDL-c เมื่อระดับ LDL-c ยังเป็นไปตามเป้าหมาย เมื่อใช้ statins ได้แก่
- Ezetimibe สามารถลดระดับ LDL-c ได้เพิ่มเติมจาก statin อีกประมาณ 21-27% จากการศึกษา IMPROVE-IT ซึ่งเป็น cardiovascular outcome trial (CVOT) ในผู้ที่เพิ่งเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันพบว่าการให้ยา simvastatin ร่วมกับ ezetimibe สามารถลดอัตราตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด, major coronary event และ nonfatal stroke ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ7 เมื่อไม่นานนี้ยังมีการศึกษา RACING ที่เป็น randomized controlled trial ขนาดใหญ่ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยแบ่งกลุ่ม ให้ยา moderate-intensity statin ร่วมกับ ezetimibe เทียบกับ high-intensity statin พบว่าการใช้ยา moderate-intensity statin ร่วมกับ ezetimibe ลดการเกิด cardiovascular outcomes ไม่ด้อย ไปกว่าการใช้ high-intensity statin โดยที่ทำให้สัดส่วนผู้ที่มี LDL-c < 70 มก./ดล. มากกว่า และอัตราการหยุดใช้ยาต่ำกว่าในกลุ่มที่ใช้ยา moderate-intensity statin ร่วมกับ ezetimibe12
- ยายับยั้ง proprotein convertase subtilisin-kexin type 9 (PCSK9) ได้แก่ ยากลุ่ม PCSK9 monoclonal antibody (evolocumab, alirocumab) สามารถลดระดับ LDL-c ได้ประมาณ 60% ไม่ว่าจะใช้เป็นยาเดี่ยวหรือร่วมกับยาอื่น ยาทั้งสองมีการศึกษา CVOT ในผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับยา statin ขนาดสูงสุดที่ทนได้ พบว่ายากลุ่มนี้สามารถลดการเกิด cardiovascular outcomes ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ7 ปัจจุบันมียากลุ่มนี้ที่เป็น small interfering ribonucleic acid (siRNA) พบว่าลดระดับ LDL-c ได้ดี แต่ CVOT ยังอยู่ในการศึกษาคงต้องรอดูผลการศึกษาต่อไป
- ยาอื่นที่ใช้ร่วมเพื่อลดระดับ triglyceride (TG) ได้แก่
- Fibrates สามารถลดระดับ TG ได้ประมาณ 50% จากการศึกษา CVOT ในผู้ที่ได้ยา statins แล้ว พบว่ายากลุ่ม fibrate ลด cardiovascular outcome ไม่ชัดเจน อาจจะมีประโยชน์ในกล่มุ ที่ TG สูงและ HDL-c ต่ำ7 ล่าสุดมีการศึกษา CVOT ของ pemafibrate ชื่อ PROMINENT ในผู้ที่เป็นเบาหวานและมีระดับ TG 200-499 มก./ดล. ร่วมกับ HDL-C ≤ 40 มก./ดล. พบว่า pemafibrate ไม่ลด cardiovascular event13 ดังนั้น อาจพิจารณาให้ fibrates เมื่อระดับ TG > 500 มก./ดล. โดยที่ไม่ใช่ภาวะ hypertriglyceridemia ที่มีสาเหตุ secondary causes เพื่อป้องกันภาวะตับอ่อนอักเสบ14 หรือในกลุ่มที่เป็น primary prevention ที่ได้ยา statin แล้ว ระดับ TG > 200 มก./ดล.7
- Prescription omega-3 fatty acid ในไทยมี 2 ชนิด คือ ชนิดแรกเป็น pure eicosapentaenoic acid (EPA) หรือ icosapent ethyl และชนิดที่ 2 เป็น EPA+ docosahexaenoic acid (DHA) ทั้งคู่สามารถลดระดับ TG ได้ประมาณ 45% จากการศึกษา REDUCE-IT ซึ่งเป็น CVOT ในผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่เดิม หรือมีปัจจัยเสี่ยงสูง (ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอายุตั้งแต่ 50 ปี และมีปัจจัยเสี่ยง) ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยที่ได้รับยา Statin และมีระดับ TG 135-499 มก./ดล. พบว่ากลุ่มที่ได้ icosapent ethyl มีลด cardiovascular eventได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นพิจารณาให้ icosapent ethyl ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่เดิม หรือมีปัจจัยเสี่ยงสูงที่ได้ Statin แล้วและมีระดับ TG 135 (150)-499 มก./ดล.7,14 เพื่อลดอัตราการเกิด cardiovascular outcome ส่วน EPA + DHA พิจารณาเมื่อระดับ TG > 500 มก./ดล. โดยที่ไม่ใช่ภาวะ hypertriglyceridemia ที่มีสาเหตุ14
บทสรุป
ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้ที่เป็นเบาหวาน มีลักษณะที่เป็น atherogenic dyslipidemia หรือ diabetic dyslipidemia ซึ่งก่อให้เกิดความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น มีความสำคัญในการตรวจเพื่อวินิจฉัย และให้การรักษาอย่างเหมาะสมด้วยยาเพื่อลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งที่เป็น primary และ secondary prevention โดย statins ถือว่าเป็นยาตัวแรกในการรักษา หลังจากนั้นเมื่อ LDL-c ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ควรตามความเสี่ยงของผู้ป่วยนั้นให้เริ่มยากลุ่มที่เป็น non-statin ตามมาได้ เพื่อลดระดับ LDL-c หรือระดับ TG ในบางกรณี
- Mooradian AD. Dyslipidemia in type 2 diabetes mellitus. Nat Clin Pract Endocrinol Metab. 2009;5(3):150-9.
- Turner RC, Millns H, Neil HA, Stratton IM, Manley SE, Matthews DR, et al. Risk factors for coronary artery disease in non-insulin dependent diabetes mellitus: United Kingdom Prospective Diabetes Study (UKPDS: 23). BMJ. 1998;316(7134):823-8.
- Emerging Risk Factors C, Sarwar N, Gao P, Seshasai SR, Gobin R, Kaptoge S, et al. Diabetes mellitus, fasting blood glucose concentration, and risk of vascular disease: a collaborative meta-analysis of 102 prospective studies. Lancet. 2010;375(9733):2215-22.
- Low Wang CC, Hess CN, Hiatt WR, Goldfine AB. Clinical Update: Cardiovascular Disease in Diabetes Mellitus: Atherosclerotic Cardiovascular Disease and Heart Failure in Type 2 Diabetes Mellitus – Mechanisms, Management, and Clinical Considerations. Circulation. 2016;133(24):2459-502.
- ElSayed NA, Aleppo G, Aroda VR, Bannuru RR, Brown FM, Bruemmer D, et al. Erratum. 10. Cardiovascular disease and risk management: Standards of Care in Diabetes-2023. Diabetes Care 2023;46(Suppl. 1):S158-S190. Diabetes Care. 2023;46(4):898.
- Visseren FLJ, Mach F, Smulders YM, Carballo D, Koskinas KC, Back M, et al. 2021 ESC Guidelines on cardiovascular disease prevention in clinical practice. Eur Heart J. 2021;42(34):3227-337.
- Mach F, Baigent C, Catapano AL, Koskinas KC, Casula M, Badimon L, et al. 2019 ESC/EAS Guidelines for the management of dyslipidaemias: lipid modification to reduce cardiovascular risk. Eur Heart J. 2020;41(1):111-88.
- Cosentino F, Grant PJ, Aboyans V, Bailey CJ, Ceriello A, Delgado V, et al. 2019 ESC Guidelines on diabetes, pre-diabetes, and cardiovascular diseases developed in collaboration with the EASD. Eur Heart J. 2020;41(2):255-323.
- Eckel RH, Jakicic JM, Ard JD, de Jesus JM, Houston Miller N, Hubbard VS, et al. 2013 AHA/ACC guideline on lifestyle management to reduce cardiovascular risk: a report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Practice Guidelines. Circulation. 2014;129(25 Suppl 2):S76-99.
- ElSayed NA, Aleppo G, Aroda VR, Bannuru RR, Brown FM, Bruemmer D, et al. 5. Facilitating Positive Health Behaviors and Well-being to Improve Health Outcomes: Standards of Care in Diabetes-2023. Diabetes Care. 2023;46(Supple 1):S68-S96.
- Writing C, Lloyd-Jones DM, Morris PB, Ballantyne CM, Birtcher KK, Covington AM, et al. 2022 ACC Expert Consensus Decision Pathway on the Role of Nonstatin Therapies for LDL-Cholesterol Lowering in the Management of Ather sclerotic Cardiovascular Disease Risk: A Report of the American College of Cardiology Solution Set Oversight Committee. J Am Coll Cardiol. 2022;80(14):1366-418.
- Kim BK, Hong SJ, Lee YJ, Hong SJ, Yun KH, Hong BK, et al. Long-term efficacy and safety of moderate-intensity statin with ezetimibe combination therapy versus high-intensity statin monotherapy in patients with atherosclerotic cardiovascular disease (RACING): a randomised, open-label, non-inferiority trial. Lancet. 2022;400(10349):380-90.
- Das Pradhan A, Glynn RJ, Fruchart JC, MacFadyen JG, Zaharris ES, Everett BM, et al. Triglyceride Lowering with Pemafibrate to Reduce Cardiovascular Risk. N Engl J Med. 2022;387(21):1923-34.
- Virani SS, Morris PB, Agarwala A, Ballantyne CM, Birtcher KK, Kris-Etherton PM, et al. 2021 ACC Expert Consensus Decision Pathway on the Management of ASCVD Risk Reduction in Patients With Persistent Hypertriglyceridemia: A Report of the American College of Cardiology Solution Set Oversight Committee. J Am Coll Cardiol. 2021;78(9):960-93.