“การแพทย์ในอนาคตจะเป็นเหมือนต่างคนต่างลงลึกในแต่ละสาขา แต่การทำงานจะต้องอาศัยความร่วมมือกันมากขึ้น”
นพ. คมสิงห์ เมธาวีกุล
กรรมการกลาง สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯ
นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ หน่วยสรีระไฟฟ้าหัวใจ
กลุ่มงานอายุรศาสตร์หัวใจ สถาบันโรคทรวงอก
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ สาขาโรคหัวใจ
ผมจบมัธยมที่โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน สาเหตุที่เลือกเรียนแพทย์เพราะคิดว่าอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีความมั่นคง และยังได้ช่วยเหลือผู้ป่วย ได้บุญด้วย ก็สอบติดโควตาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พอเรียนจบแล้ว ผมเลือกไปใช้ทุนปี 1 ที่โรงพยาบาลอุดรธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ คนไข้มาตรวจเยอะมาก อยู่เวรฉุกเฉินแทบไม่ได้นอน แต่ก็ทำให้ได้ประสบการณ์ในการดูแลคนไข้และได้ทำหัตถการเยอะ พอเป็นแพทย์ใช้ทุนปี 2 – 3 ก็ย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ก็ได้ประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยที่หลากหลายขึ้น มีความประทับใจหลายเคส เช่น เคสคุณแม่คลอด และขาเด็กโผล่ออกมาก่อนจนต้องทำการผ่าตัดคลอดเด็กออกมาแบบฉุกเฉิน หรือเคสผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานหักเสียเลือดมาก หัวใจหยุดเต้น แวะมาให้เราปั๊มหัวใจให้กลับมาเต้นและต้องเอาเลือดมาฉีดเข้าไปในหลอดเลือดเนื่องจากผู้ป่วย เสียเลือดมากจนสามารถส่งต่อได้ เป็นต้น
สำหรับสาเหตุที่เลือกเรียนต่อสาขาอายุรศาสตร์จริง ๆ เลยคือ ต้องการเรียนต่อทางด้านโรคหัวใจ เพราะตอนนั้นมองว่า อายุรศาสตร์โรคหัวใจเป็นอีกสาขาที่มีการวินิจฉัยโรคจากการตรวจร่างกายเป็นหลัก เช่น การฟังเสียงลิ้นหัวใจผิดปกติ หรือเห็นความผิดปกติของร่างกายบางอย่างที่ทำให้วินิจฉัยโรคได้ มีการอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน มี evidence base ต่าง ๆ มากมายที่เราสามารถอ้างอิงในการรักษาได้ จึงอยากที่จะเรียนสาขานี้ พอเป็นฟรีเทรนนิ่งด้านอายุรศาสตร์ได้ 3 ปี ก็เรียนต่ออายุรศาสตร์โรคหัวใจที่ศิริราช 2 ปี แล้วก็เรียนอนุสาขาสรีระไฟฟ้าหัวใจต่ออีก 1 ปี เพราะจะเกี่ยวข้องกับเรื่องคลื่นไฟฟ้าหัวใจหรือการใส่สายสวนเพื่อรักษาผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชอบ
เป้าหมายที่ตั้งไว้ในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิต
สำหรับเป้าหมายในการเป็นแพทย์ เรียงตามลำดับที่คิดและทำ เป้าหมายแรกคือการดูแลรักษาผู้ป่วยให้ได้รับผลการรักษาที่ดีที่สุดและเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด ตอนนี้จบอนุสาขาสรีระไฟฟ้าหัวใจแล้ว สามารถรักษาคนไข้หัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งด้วยคลื่นความถี่วิทยุและการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ แต่ก็ยังต้องอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้จากคนไข้แต่ละคน เพราะตำรากับการปฏิบัติกับคนไข้บางคนอาจไม่ตรงกัน ก็ต้องพัฒนาต่อไป ตอนนี้ก็มีหลายเรื่องที่กำลังพัฒนาตามเป้าหมายนี้
เป้าหมายข้อต่อมาคือ การเป็นอาจารย์แพทย์ ตอนนี้ก็ได้เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่สถาบันโรคทรวงอก โดยมีการฝึกอบรมเฟลโลว์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ มีการเปิดอบรมอนุสาขาสรีระไฟฟ้าหัวใจ มีหลาย ๆ กิจกรรมด้านการเรียนการสอนที่จะทำให้เฟลโลว์มีความรู้ความสามารถไปดูแลคนไข้โรคหัวใจต่อไป
เป้าหมายข้อสามคือ การทำวิจัยเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ทางด้านโรคหัวใจ ซึ่งตอนนี้ผมได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารระดับนานาชาติไปหลายเรื่อง ทั้งงานวิจัยของตัวเองและงานวิจัยของเฟลโลว์ที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษา และได้มีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยที่เป็น Registry ระดับชาติอีกหลายการศึกษา
เป้าหมายข้อสี่คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญในการ review งานวิจัยที่ส่งตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ ที่ผ่านมาได้รับเชิญจากหลาย ๆ วารสารให้ช่วย review งานวิจัยก่อนตีพิมพ์และยังได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอิสระของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ สถาบันโรคทรวงอก ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้มีงานวิจัยที่มีคุณภาพได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ
เป้าหมายข้อ 5 เป็นเรื่องครอบครัว คือเราทำงานแล้วก็ต้องจัดสรรเวลาให้กับคนที่สนับสนุนการทำงานของเราที่บ้านด้วย ก็เป็นเรื่องของครอบครัว ซึ่งเรามีเป้าหมายว่านอกจากทำงานแล้ว เรื่องครอบครัวก็ต้องดูแลให้ได้ระดับหนึ่งด้วย คือต้องมี work life balance ด้วย
ที่ผ่านมาเป้าหมายที่สำเร็จได้เกิดจากปัจจัยในข้อใด
ปัจจัยแรก ความตั้งใจ งานทุกงานย่อมมีอุปสรรคอยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็ว่าไป แต่ถ้าเรามีความตั้งใจมากพอ เราก็จะพยายามแก้ไข ไม่เอาอุปสรรคต่าง ๆ มาเป็นปัญหาหนัก อย่างช่วงแรกที่ผมจัดกิจกรรมวิชาการ ก็จะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะแต่เดิมไม่ได้มีการจัดการเรียนการสอนล่วงหน้าทั้งปีการศึกษา ก็ต้องพยายามจัดตารางกิจกรรมวิชาการให้ได้ทั้งปีการศึกษา ตัวอย่างเช่น ECG conference จะทำให้ได้ทั้งปีการศึกษา เราก็ต้องทำหน้าที่คุมเป็นหลักทุกครั้ง ต่อมาก็มีการแบ่งหัวข้อให้อาจารย์แต่ละท่านมีส่วนร่วมมีการพัฒนาให้เป็นระบบมีมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องมีความตั้งใจ
ปัจจัยที่สอง การวางแผนหรือการเตรียมตัวที่ดีเราต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าถ้าเรามีเป้าหมายแบบนี้ ต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราสำเร็จตามเป้าหมายนั้น ตัวอย่างง่าย ๆ เลยคือ มีเป้าหมายจะเป็นแพทย์ทางด้านสรีระไฟฟ้าหัวใจ ก็ต้องรู้ว่าต้องจบแพทยศาสตรบัณฑิตต่ออายุรศาสตร์ทั่วไป ต่ออายุรศาสตร์โรคหัวใจ ต่ออนุสาขาไฟฟ้าสรีระหัวใจ เป็นต้น
ปัจจัยที่สาม ผมโชคดีที่มีครอบครัวสนับสนุน คือความตั้งใจที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จที่สูง ก็ต้องเกิดความเครียดในระหว่างทางอยู่แล้ว การที่เรามีครอบครัวช่วยสนับสนุน เหมือนเราได้กำลังใจทำให้เรามีความผ่อนคลาย ทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้ง่ายมากขึ้น
“งานทุกงานมีอุปสรรค
ถ้าผมเจอจะบอกกับตัวเองว่า
อย่าเพิ่งท้อถอยให้ตั้งสติ
แล้วค่อย ๆ กลับมาคิดดูว่า
ปัญหามันอยู่ตรงไหน”
เป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร ควรปรับปรุงในเรื่องใด
ผมขอเน้นที่การแก้ปัญหาหรือการเอาชนะอุปสรรคดีกว่า อย่างที่บอกงานทุกงานมีอุปสรรค ถ้าผมเจอจะบอกกับตัวเองว่า อย่าเพิ่งท้อถอย ให้ตั้งสติแล้วค่อย ๆ กลับมาคิดดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน สามารถแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้ก็ต้องดูว่าตัวเราทำได้เอง หรือต้องมีใครมาช่วย ต้องปรึกษาใคร ใครช่วยได้บ้าง ซึ่งอาจมีทั้งเพื่อนร่วมงาน อาจารย์ผู้ใหญ่ แม้กระทั่งครอบครัว มันจะเจอทางที่ทำให้เราผ่านอุปสรรคนั้นไปได้
ตัวอย่างเช่น งานที่สถาบันโรคทรวงอกในช่วงแรก ๆ มีเป้าหมายจะเก็บข้อมูลทำวิจัยเพื่อตีพิมพ์ด้วย ตอนนั้นยังไม่รู้ระบบว่าจะเอาข้อมูลมาจากไหน เก็บอย่างไร มีเครื่องมือวิเคราะห์ไหม มีงบเพื่อการตีพิมพ์ไหม เป็นต้น ก็ถามภรรยาซึ่งขณะนั้นเป็นแพทย์เฟลโลว์ว่ามีขั้นตอนอย่างไร มีการถามอาจารย์ บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตรงไหนมีแล้ว ตรงไหนขาด ตรงไหนที่เราต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติม โดยที่ผมก็ไปอบรมการใช้โปรแกรมในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และตอนที่ผมเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยทางคลินิกก็ได้ขอเปิดตำแหน่งเพิ่ม อย่างนักชีวสถิติก็ขอเปิดเพิ่ม และร่างกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่า งานวิจัยแบบไหนเบิกงบในการจัดทำและตีพิมพ์ได้ไม่ได้อย่างไร
ในอดีตที่ผ่านมาเวลาประสบปัญหาแก้อย่างไร หรือปรึกษาใคร
สำหรับผมอาจจะเป็นกรณีเฉพาะ คือมีภรรยาเป็นอายุรแพทย์โรคหัวใจ ทำงานที่เดียวกัน เราจะทราบปัญหาในการทำงานกันอยู่แล้ว พอมีปัญหาอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับงานและเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน ก็เป็นการช่วยได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ต้องดูว่าเป็นเรื่องอะไร ก็จะมีคุณพ่อคุณแม่ เพื่อนสนิท คนในครอบครัว คนเหล่านี้เป็นคนที่หวังดีกับเราจริง ๆ เราปรึกษาอย่างน้อยมีคนรับฟัง เราก็จะสบายใจขึ้น ปัญหาบางอย่างบางทีก็อาจจะติดอยู่แค่ไม่กี่จุด บางอย่างเราอาจจะเครียดกับเรื่องนั้นมากเกินไป มองปัญหาไม่ออก มีคนช่วยรับฟัง บางทีความเครียดลดลง เราอาจจะแก้ปัญหานั้นได้ดีขึ้นก็ได้
บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
คนแรกคือ คุณพ่อคุณแม่ เป็นแบบอย่างหลายเรื่อง ทั้งความซื่อสัตย์ ความตรงต่อเวลา อย่างคุณพ่อเวลาที่ท่านทำงานอยู่ก็จะตรงต่อเวลา ตอนเช้าตื่นเป็นเวลา เพื่อที่จะทำงานให้ทัน ความมีระเบียบวินัย รู้จักการวางแผน เวลาที่เราไปทำงานจริง เวลาที่เราวางแผนงานก็จะสำเร็จไปตามเป้าหมายที่เราวางเอาไว้
คนที่สองคือ อาจารย์ นพ. เรวัตร พันธุ์กิ่งทองคำ เป็นต้นแบบทางด้านการดูแลคนไข้โรคหัวใจ ชอบสไตล์การสอนของอาจารย์ มีหลักในการคิด มี evidence based ทั้งหมด เวลาคนไข้มาลักษณะแบบนี้ เราจะมีแนวทางดูแลคนไข้อย่างไร อาจารย์จะชอบถามคำถามแล้วให้เราตอบ เหมือนกระตุ้นให้เราไปอ่านหนังสือ เพื่อมาตอบคำถาม ซึ่งตอนสมัยเป็นเฟลโลว์ ก็ชื่นชอบแนวทางแบบนี้เหมือนกัน
คนที่สามคือ อาจารย์ นพ. รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ เป็นต้นแบบของการทำงานวิจัยที่เก่งมาก ได้เรียนรู้จากอาจารย์หลายเรื่อง ทั้งแนวคิดในการคิดทำวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลการทำวิจัย เขียนโครงร่างงานวิจัย และการส่งงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์ ได้มีโอกาสเรียนรู้จากการทำงานร่วมกับอาจารย์หลายงานด้วยกัน
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ข้อแรก ผมให้เป็นการวางเป้าหมายในชีวิต ข้อนี้จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น โดยเราสามารถเอาเป้าหมายนั้นมาวางแผนถึงเรื่องที่ต้องเตรียมการองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็น
ข้อสอง แต่สำคัญไม่น้อยกว่าข้อแรกคือ ความซื่อสัตย์ ผมคิดว่าเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมี คนที่มีความรู้มาก ๆ และจะนำความรู้นั้นมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ต่อตนเองและต่อคนอื่นด้วย
ข้อสาม ความตรงต่อเวลา ทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่ถ้าเราตรงต่อเวลาจะทำให้เรามีเวลาในการทำงานได้มากขึ้น มีสุภาษิตหนึ่งที่ผมชอบคือ Time and tide wait for no man เวลาและกระแสน้ำไม่เคยรอใคร ซึ่งสอนให้เรารู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เราไม่ควรปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ทำอะไร ความตรงต่อเวลาทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลา นอกจากนี้ เราควรเห็นคุณค่าเวลาของคนอื่นด้วย ไม่ควรปล่อยให้คนอื่นต้องเสียเวลารอเราเช่นกัน
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางอนาคตเป็นอย่างไร
การแพทย์ยุคปัจจุบัน มีทั้งเทคโนโลยีใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ ที่เพิ่มพูนมากกว่าสมัยก่อน แต่เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ถ้าเราได้เรื่องใดมา ก็อาจต้องเสียบางเรื่องไป การแพทย์ในอนาคตก็จะแยกส่วนของร่างกาย ดูกันเป็นอวัยวะมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงคนไข้ที่เราดูแล ไม่ได้เป็นคนไข้ของโรคใดโรคหนึ่ง ทำให้แพทย์อย่างไรเสียต้องมีความรู้จากสาขาต่าง ๆ เพื่อมาดูแลคนไข้เป็นลักษณะองค์รวม (Holistic approach)
อย่างผมจบสาขาโรคหัวใจ แต่จะดูเฉพาะคนไข้โรคหัวใจก็ไม่ได้ เพราะคนไข้โรคหัวใจก็คือ คนไข้อายุรศาสตร์ ต้องมองว่าคนไข้ต้องมีหลาย ๆ ปัญหาที่เป็นสาเหตุหรือผลจากโรคอื่นที่มีต่อหัวใจ ซึ่งก็ต้องช่วยมองปัญหาหรือช่วยวินิจฉัยและส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ได้ การแพทย์ของไทยในอนาคตจะเป็นเหมือนต่างคนต่างลงลึกแต่ละสาขา แต่การทำงานจะต้องอาศัยความร่วมมือและประสานงานระหว่างสาขามากขึ้น เพื่อดูแลในทุกปัญหาที่คนไข้มี
ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร
ในมุมมองของผม ความรู้และการศึกษาเพิ่มเติมเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก การที่เราจะดูแลคนไข้ให้ได้ดี เราต้องมีความรู้เป็นพื้นฐานก่อน ความรู้ปัจจุบันเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว พอเราเรียนจบมาอย่าคิดว่าความรู้นั้นเรามีครบแล้ว เราต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย อย่างโรคหัวใจก็จะมีไกด์ไลน์ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ก็ต้องคอยติดตามว่า ความรู้ที่เราเรียนมามีการปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง เพื่อให้การดูแลรักษาคนไข้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อทำงานศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือ สุขภาพของตัวเอง เพราะว่าวิชาชีพแพทย์เป็นวิชาชีพที่มีการทำงานที่ค่อนข้างหนัก ต้องอยู่เวร อดนอน ไม่ได้พักผ่อน ทำให้เสี่ยงที่จะเสียสุขภาพ แพทย์ก็ต้องหาเวลาผ่อนคลายออกกำลังกาย รักษาสุขภาพของตัวเองด้วย การที่เรามีสุขภาพที่แข็งแรง ทำให้เรามีโอกาสแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ มีเวลาในการทำประโยชน์ให้กับผู้ป่วยมากขึ้น
สุดท้ายครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เราสามารถเดินหน้าต่อไป ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องดูแลครอบครัว อย่างน้อยให้เท่ากับที่ครอบครัวดูแลเรา